tag:blogger.com,1999:blog-3408166138434374052011-12-01T20:17:28.204-08:00KRUKRABKRU ครูครับครูTia Teedeehttp://www.blogger.com/profile/15431183099594541132noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-340816613843437405.post-90612940689518536822011-12-01T20:17:00.000-08:002011-12-01T20:17:28.217-08:002011-12-01T20:17:28.217-08:00วิญญาณของความเป็นครู<div style="color: blue; text-align: center;"><span style="font-size: medium;"><span style="font-size: large;"><b>วิญญาณของความเป็นครู</b></span></span></div><div style="color: blue; text-align: center;"><span style="font-size: medium;"><b><span style="color: blue;"> <span style="font-size: large;"> โดย พุทธทาสภิกขุ </span></span></b></span><br />
</div><div style="color: blue; text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-VDuVCjNUCF0/TthRKl5STDI/AAAAAAAAEqc/K-zli6vMTXk/s1600/%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%259720.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://3.bp.blogspot.com/-VDuVCjNUCF0/TthRKl5STDI/AAAAAAAAEqc/K-zli6vMTXk/s320/%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%259720.jpg" width="227" /></a></div></div><div style="color: blue; text-align: left;"><span style="font-size: large;">ตอน คอยดูกันต่อไปเถิด การจัดการศึกษาของประเทศไทย <br />
หรือของโลกทั้งโลกนี้ จะเป็นไปในรูปไหน ?</span></div><div style="color: blue; text-align: left;"><div style="color: blue;"><span style="font-size: large;"><b> </b></span> <span style="font-size: large;"><b> เ</b></span>ราคงไม่ตายเสียเร็วเกินไป อีก ๒๐ - ๓๐ ปี ใกล้ ๆ นี้ จะรู้ ว่าคนในโลกจะมีวิญญาณสูงขึ้นหรือไม่ ? ถ้าว่ามีวิญญาณตกต่ำลงไปถึงระดับเป็นภูติผีปีศาจ ก็บูชาความสุขทางเนื้อทางหนังทางกามารมณ์นั่นเอง ; แล้วก็เพิ่มอำนาจของเครื่องจักร หรือวิชาเทคโนโลยี่ ให้คนจมอยู่ใต้วัตถุ ได้ความสุขทางเนื้อหนังนี้ อย่างยิ่ง อย่างเร็ว, แล้วโลกจะเป็นอย่างไร. พวกเราที่เป็นครูนี้ คอยดูกันต่อไป ในระยะ ๒๐ - ๓๐ ปีข้างหน้านี่เอง ยังไม่ทันตาย.</div><div style="color: blue;"> ตรงนี้อยากจะพูดว่า เรามีความรับผิดชอบร่วมกัน : อาตมาก็เป็นครู เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านเป็นครู และเป็นบรมครู ศิษย์ของพระพุทธเจ้าทุกคนต้องเป็นครู มีหน้าที่ยกวิญญาณของสัตว์ในโลกให้สูงขึ้น. อาตมาก็ครู, ท่านทั้งหลายก็เป็นครู, เพราะฉะนั้น ก็ควรจะพูดอะไรกันตรง ๆ ตรงไปตรงมา คือว่าเราคอยดูกันในระยะไม่นานนัก โลกนี้จะเป็นอย่างไร ? วิญญาณของคนในโลกจะเป็นอย่างไร ? นั่นคือผลของการที่ครูทั้งหลายในโลก กำลังทำหน้าที่ของตน ในการยกสถานะทางวิญญาณของคนในโลก.</div><div style="color: blue;"> เท่าที่กล่าวมานี้ ทุกคนก็พอจะสรุปความหมายได้เองแล้วว่า ครูนั้นคืออะไร ? ตาม spirit ตามเจตนารมณ์ของคำ ๆ นี้นั้น คืออะไร ? แล้วเราเป็นกันมากน้อยเท่าไร หรือมีพิธีรีตอง ; แล้วความรู้ที่กำลังพูดเกี่ยวกับคำว่าครูนี้ จะมีประโยชน์หรือจะไม่มีประโยชน์ ก็ขอเอาไปวินิจฉัยเอาเองโดยอิสระ.</div><div style="color: blue;"> นี่เราพูดถึงคำว่า ครูคืออะไร แล้ว ก็จะพูดโดยหัวข้อที่ ๒ ต่อไปว่า มันเนื่องมาจากอะไร สิ่งที่เรียกว่าครู หรือคนที่เรียกว่าครูนี้ จึงเกิดขึ้นในโลก ? ด้วยเหตุอะไร จึงเกิดครูขึ้นมาในโลก ? เป็นความต้องการของใคร ?</div><div style="color: blue;"> การที่ต้องเกิดบุคคลประเภทครูขึ้นมา จนเป็นสถาบันอันหนึ่งในหมู่มนุษย์ของโลกนี้ มันตอบได้ง่ายนิดเดียว ก็เพราะว่า หน้าที่อันนี้มันพิเศษ ชาวไร่ ชาวนา ทำไม่ได้. ผู้ที่จะสามารถยกวิญญาณของคนให้สูงขึ้นนั้น เป็นหน้าที่พิเศษ ต้องอบรมศึกษา อบรมกันโดยเฉพาะ ชาวไร่ชาวนาทำไม่ได้ ; ฉะนั้น จึงต้องมีบังคับอยู่โดยในตัวเองให้เกิดสถาบันครูขึ้นมา เพื่อรับภาระอันนี้ รับหน้าที่อันนี้ : คือหน้าที่อันสูงสุด ที่น่าภาคภูมิใจนี้. พูดได้ว่า เพราะว่ามันเหลือวิสัยที่ทุกคนจะเป็นครูได้ ; ฉะนั้น จึงต้องมีบุคคลประเภทหนึ่ง ซึ่งศึกษาอบรมฝึกฝนกันมาสำหรับเป็นครู.</div><div style="color: blue;"> เป็นความต้องการของใคร ? ก็เป็นความต้องการของคน หรือเป็นความต้องการของพระเจ้า หรือเป็นความต้องการของธรรมชาติ. ถ้าพูดอย่างหลักธรรมดาสามัญ หรือพูดตามวิธีการวิทยาศาสตร์ มันก็ความต้องการของสังคมนั่นแหละ. สังคมที่ค่อยวิวัฒนาการขึ้นมาเป็นพัน ๆ ปี เรื่อย ๆ มา มันมีความคิด ความนึก มองเห็นว่าจะต้องมีบุคคลกลุ่มหนึ่งทำหน้าที่อันนี้ เพื่อความต้องการของคน หรือของสังคม : กระทั่งมองให้ลึกลงไปอีก มันกลายเป็นว่า ความต้องการของธรรมชาติ. มันบีบบังคับให้คนรู้สึกอย่างนี้ มันบีบบังคับให้คนทุกคนในสังคมรู้สึกอย่างนี้ ; นี่ขอให้มองให้ลึกว่า มันเป็นความต้องการของธรรมชาติ.</div><div style="color: blue;"> เดี๋ยวนี้เรามองข้ามธรรมชาติ เหยียบย่ำธรรมชาติ เหยียดหยามธรรมชาติไม่มองดูในฐานะเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด หรือจะต้องเคารพ. เคารพ หมายความว่าเอาใจใส่และเชื่อฟัง ; เราคอยแต่จะทำฝืนกฎธรรมชาติ เราก็จะต้องได้รับผลตอบแทน คือปัญหายุ่งยากและความทุกข์.</div><div style="color: blue;"> ตอนนี้ฟังยาก อาจจะเข้าใจต่างกัน เพราะมันลึกกว่าที่จะมองเห็นกันได้ง่าย ๆ เมื่ออาตมาพูดว่า เราทำฝืนกฎธรรมชาติ เราจึงเป็นทุกข์ ; แต่คนอาจจะพูดว่า ทำไปตามธรรมชาติ เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน ; ซึ่งนั้นเป็นเรื่องคนละระดับ. เป็นสัตว์เดรัจฉาน ก็ยังเป็นทุกข์น้อยกว่าคน ไปมองดูให้ดี : คน ตีตนออกห่างธรรมชาติเป็นความเจริญทางวัตถุ ทางเนื้อหนังมากขึ้น นับตั้งแต่มีบ้านมีเรือนอยู่ ไม่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน แล้วทำนั่นทำนี่ขึ้นมามากมาย ; เดี๋ยวนี้จนกระทั่งมีอะไรในเวลานี้. บ้านหลังหนึ่งจะต้องมีอะไรบ้าง ; อย่างนี้คือทิ้งธรรมชาติ สละธรรมชาติ, อย่างนี้เรียกว่าผิดกฎธรรมชาติ หรือว่าเกินความจำเป็นที่ธรรมชาติต้องการ. ธรรมชาติไม่ต้องการมากอย่างนี้, ธรรมชาติไม่ต้องการให้เรากินน้ำแข็ง, ธรรมชาติไม่ต้องการให้เรามีโทรทัศน์ หรืออะไรเหล่านี้.</div><div style="color: blue;"> นี่ เราก็ฝืนธรรมชาติไกลออกมา ไกลออกมาแล้ว เราจึงได้รับปัญหายุ่งยาก คือมีความต้องการมากจนสนองความต้องการไม่พอ เราจึงต้องรบราฆ่าฟันกัน. นี่ไปมองดูก็แล้วกัน ที่มันคอยจี้รถจักรยานยนต์อยู่ข้างถนนเอาไปยิงตาย ชิงรถไปนี้มันก็เพราะเหตุอันนี้, ที่มันรบกันทั้งโลก ระหว่างคอมมูนิสต์กับประชาธิปไตย มันก็เพราะเหตุอันนี้ คือมันมีความต้องการเกินกว่าธรรมชาติ เกินกว่าความเป็นธรรม หรือเกินกว่าความถูกต้อง. ยิ่งไกลธรรมชาติออกไปเท่าไร มนุษย์จะประสบปัญหายุ่งยากมากขึ้น มีความทุกข์มากขึ้น, ยิ่งเจริญทางสมัยใหม่อย่างที่พวกฝรั่งเขาเป็นกันเท่าไร ก็ยิ่งจะมีปัญหามากขึ้น ตามความเจริญ ; เพราะ ความเจริญแปลว่ารกรุงรัง รกรุงรังไปด้วยปัญหา ปัญหาก็คือความทุกข์.</div><div style="color: blue;"> เราคอยดูไปจนตลอดชีวิตเถิด พวกเราที่นั่งอยู่ที่นี่ ว่าฝรั่งจะแก้ปัญหาของโลกได้อย่างไร ฝรั่งที่เจริญด้วยการศึกษาวิชาความรู้ ที่เรากำลังจะไปหลงบูชาเขานั่นแหละ เขาจะไปแก้ปัญหาของโลกนี้ได้อย่างไร.</div><div style="color: blue;"> ใจความสำคัญ มันอยู่ที่ว่า พวกนี้หนีธรรมชาติไปไกล ไม่เชื่อฟังธรรมชาติ ไม่เอาตามที่ธรรมชาติต้องการให้เอา ให้มี ให้เป็น ให้ยึดครอง ให้กิน ให้ใช้ คือพอสมควร. พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องนี้ว่า กินอยู่พอดี คือพอเหมาะตามธรรมชาติ แล้วความทุกข์จะไม่เกิดขึ้น ; เดี๋ยวนี้ เราไปว่า กินดีอยู่ดี กินดีอยู่ดี ขยายออกไปเรื่อยไม่มีที่สิ้นสุด มันไม่ใช่กินอยู่พอดีเสียแล้ว ; ฉะนั้นต้องมีความทุกข์ ต้องมีปัญหาเกิดขึ้น : อย่างน้อยที่สุดก็คือเงินเดือนไม่พอใช้ จะขึ้นเงินเดือนอีกสักกี่ครั้งกี่หนเท่าไร มันก็ยังไม่พอใช้อยู่นั่นเอง เพราะขยายความกินดีอยู่ดีขึ้นไปเรื่อย.</div><div style="color: blue;"> นี้เราจงมองให้เห็นว่า ธรรมชาตินั้นแหละคือสิ่งที่มีอำนาจเหนือสิ่งใดหมด ; ถ้าเราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราเรียกธรรมชาติ ถ้าเราเป็นนักศาสนา เราเรียกว่าพระเจ้า หรือพระธรรม. เมื่อพูดถึงธรรมชาติ มันก็พูดโดยวิชาความรู้ธรรมดาในฐานะเป็นวิทยาศาสตร์. แต่ถึงอย่างนั้น ก็อย่ามองกันแคบ ๆ นัก เมื่อพูดถึงธรรมชาติจะต้องมองถึง ๔ อย่างด้วยกันคือ.</div><blockquote style="color: blue;">(๑) ตัวธรรมชาติแท้ ๆ. Phenomena ทั้งหลายนี่ ปรากฏการณ์ทางตา ทางหู …ฯลฯ … เรียกว่า ตัวธรรมชาติ.<br />
(๒) คือกฎของธรรมชาติ มันคนละอันกับตัวธรรมชาติ the body of nature แล้วนี่เป็น the law of nature นี้.<br />
(๓) คือหน้าที่ที่สัตว์มีชีวิตทั้งหลาย จะต้องทำให้ถูกกฎของธรรมชาติ duty หรือหน้าที่ with the law of nature คือถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ.<br />
(๔) คือผลของมัน ผลที่จะเกิดขึ้นจากหน้าที่อันนั้น.</blockquote><div style="color: blue;"> <i>ธรรมชาติ</i> อย่างหนึ่ง, <i>กฎของธรรมชาติ</i> อย่างหนึ่ง, <i>หน้าที่ตามกฎธรรมชาติอย่างหนึ่ง</i>, แล้ว <i>ผลที่จะเกิดขึ้นจากหน้าที่ตามกฎธรรมชาติ</i> อย่างหนึ่ง ; นี้คือธรรมชาติ แล้วมีอำนาจมากน้อยเท่าไร ไปคิดดู. เพียงแต่คำว่า กฎธรรมชาติคำเดียวเท่านั้น มันก็คือสิ่งสูงสุดที่ไม่มีใครต่อต้านได้, และนั่นแหละ คือเขาเรียกกันว่า พระเจ้า หรือพวกเราเรียกกันว่า พระธรรม.</div><div style="color: blue;"> พระธรรมไม่มีอะไรมากไปกว่ากฎของธรรมชาติ พระพุทธเจ้าท่านสอนกฎของธรรมชาติ เรื่อง ความทุกข์ เรื่อง ความดับทุกข์ เรื่อง เหตุให้เกิดทุกข์ เรื่อง วิธีให้ถึงความดับทุกข์ หรือพระธรรม, ทั้ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ไม่หลีกหนีไปจากกฎของธรรมชาติ แล้วก็เรียกว่าพระธรรม. พวกที่ไม่เรียกว่าพระธรรมก็เรียกว่าพระเจ้า หรือจะเรียกอย่างอื่นอีกก็ตามใจเขา ; แต่เมื่อไม่ถือศาสนา ไม่ใช้ทางภาษาศาสนา ก็เรียกว่าธรรมชาติอันสูงสุด ครอบงำสิ่งทั้งปวงอยู่.</div><div style="color: blue;"> มนุษย์เรายิ่งไม่รู้จักธรรมชาติ ในทางที่ถูกต้อง ไปรู้ในทางที่ผิด ; แต่เข้าใจว่าถูกต้อง คือความเจริญอย่างสมัยปัจจุบัน. ไม่มีใครพอใจจะสันโดษ อยู่ในเรือนเล็ก ๆ กระท่อมน้อย ๆ, มีแต่อยากอยู่ดี ๆ อยากอยู่ตึก อยู่วิมาน อยู่ปราสาท, ไม่มีใครพอใจที่จะเป็นอยู่เท่าที่จำเป็น ; แต่พอใจที่จะมีกินมีใช้ มีเล่นมีหัว เกินกว่าความจำเป็น ; อย่างนี้ก็เรียกว่า ไม่เชื่อฟังพระเจ้า คือธรรมชาติ ปัญหาก็ต้องเกิดขึ้น.</div><div style="color: blue;"> ที่เอามาพูดนี้ มุ่งหมายแต่เพียงว่า ต้องการให้รู้ว่ามันเป็นความต้องการของธรรมชาติ ทั้งที่ธรรมชาตินั้นไม่ได้เป็นคน แต่มันยิ่งกว่าคน. ธรรมชาตินี้ไม่ได้เป็นคน เป็นอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งเรียกว่าพระเจ้า, เป็นอะไรไม่มีใครรู้ ; หรือ พระธรรมนี้ เป็นอะไรไม่มีใครรู้ เป็นผีก็ไม่ใช่ เป็นคนก็ไม่ใช่ แต่เป็นพระธรรมเป็นพระเจ้า. ตัวธรรมชาติก็เหมือนกัน มันจึงมีอำนาจชนิดที่มนุษย์ต่อต้านไม่ได้ มนุษย์ทำผิดเท่าไรมันก็ตบหน้าให้เท่านั้น ; แล้วยังหลอกให้มนุษย์ทำผิดมาก ๆ ด้วย. เรายิ่งไปไกลไปในทางผิด โลกก็ยิ่งมีแต่ความทุกข์มากขึ้น ; จะเชื่อหรือไม่เชื่อ กรุณาช่วยเอาไปคิดหน่อยว่า โลกกำลังจะมีความทุกข์มากขึ้น เพราะว่าเหยียดหยามธรรมชาติ ไม่เชื่อฟังกฎธรรมชาติ ไปแก้ไขหรือไปอะไร เอาตามกิเลสตัณหาของตัว.</div><div style="color: blue;"> อยากจะพูดว่า ธรรมชาติที่ไม่รู้ว่าอะไรนี้ มันต้องการให้มนุษย์เป็นอย่างนี้ ๆ : ธรรมชาตินี่ต้องการครู ธรรมชาติต้องการให้ครูมีอยู่ในโลก เพื่อคุ้มครองโลก, ต้องการให้ครูทำหน้าที่ของครูอย่างถูกต้อง คือยกวิญญาณของมนุษย์ให้สูง แล้วโลกเราก็จะมีความสงบสุข. ถ้าเราไม่แยแสกับธรรมชาติ ไม่เคารพกฎธรรมชาติ ไปทำอะไรตามชอบใจ เราเป็นครูไม่ตรงตามที่ธรรมชาติต้องการ ; ฉะนั้น ปัญหาก็ต้องเกิดขึ้น โลกนี้จะร้อนเป็นไฟ.</div><div style="color: blue;"> ใคร ๆ ก็ต้องยอมรับว่า เด็กทุกคนในโลก ถูกนำไปโดยครู เพราะว่าครูมีหน้าที่นำเด็กไป.</div><div style="color: blue;"> ทีนี้ ครูในโลกทุกคนนำเด็กไปทางไหน ? ไปในทางที่ว่าจะให้มีความสงบสุข หรือว่าให้ยุ่งมากขึ้น ? ถ้าไม่เอื้อเฟื้อแก่กฎของธรรมชาติ ไปเห็นบูชาความสุขทางเนื้อหนังแล้ว ; มันก็ต้องไปในทางยุ่งมากขึ้น เป็นทุกข์มากขึ้น เหมือนพวกฝรั่งซึ่งไปก่อนเรา ไปสู่ความยุ่งและความทุกข์ ก่อนหน้าเรา ; และเรากำลังจะตามก้นเขาไป ถ้าไม่ระวังให้ดี.</div><div style="color: blue;"> อยากจะบอกว่าธรรมชาติ หรือพระธรรม หรือพระเจ้า นั้นต้องการความเป็นครูที่ถูกต้อง เพื่อประโยชน์แก่ความสุขสวัสดีของมนุษย์ทุกคนในโลก, เราอย่าคิดว่ารัฐบาลต้องการเรา หรือใครต้องการเรา ; ที่แท้พระเจ้าต้องการเรา พระธรรมต้องการเรา, คือพูดภาษาวิทยาศาสตร์ก็ว่า ธรรมชาติอันไม่รู้ เข้าใจได้ยากนั้นต้องการเรา. ถ้าครูไม่มีในโลก โลกนี้ก็ฉิบหาย หรือว่า ถ้าครูเป็นครูไม่จริง โลกนี้ก็ฉิบหายเหมือนกัน.</div><div style="color: blue;"> อีกประการหนึ่ง ถ้าจะพูดกันแล้ว ความต้องการของสังคมก็คือธรรมชาติ ธรรมชาติก็คือพระเจ้า พระเจ้าก็คือพระธรรม, ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเดียวกัน ; ต้องการให้คนเป็นไปแต่ในทางสุขสวัสดี แต่ต้องทำอย่างนี้ ๆ อย่างนี้ ๆ ; ถ้าไปทำฝืนกฎธรรมชาติแล้ว จะไปสู่ความทุกข์ ความยุ่งยากลำบากมากขึ้น. เราจะต้องมีอะไรที่จะต้องทำมากขึ้น กว่าแต่ก่อน งานในหน้าที่มีมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ; แต่แล้วก็ไม่เป็นไปเพื่อความสุข หรือสันติภาพ เป็นไปเพื่อซับซ้อน ยุ่งยากในทางที่จะให้เราเบียดเบียนซึ่งกันและกันมากขึ้น.</div><div style="color: blue;"><br />
</div><div style="color: blue;"> นี่คำตอบของคำถามที่ว่า ครูมาจากไหน ? เป็นความต้องการของอะไร ? ที่บันดาลให้ครูเกิดขึ้นในโลก.</div><div style="color: blue;"> คำตอบก็คือ ความต้องการของพระเจ้า หรือพระธรรม หรือธรรมชาติ หรือความต้องการของสังคม ที่เกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติ.</div><div style="color: blue;"> นี้ก็เห็นได้ในข้อต่อไป ถ้าจะถามว่า มีครูเพื่อประโยชน์อะไร ? ครูก็ เพื่อให้คนในโลกมีความสุข ; นี่ตอบอย่างกำปั้นทุบดิน ไม่มีทางผิด. มีครูในโลกเพื่อประโยชน์อะไร ? เพื่อประโยชน์ให้คนทุกคนมีความสุข, ให้แต่ละคนมีความสุข ; เรียกว่ามีความสุขในทางใจ มีศานติ มีศานติในจิตใจ แล้วก็มีสันติภาพในโลก คือทางสังคมก็มีความสุข ; ก็แปลว่ามีความสุขทั้งทางกายและทางใจ และให้มนุาย์มีประสิทธิภาพในการที่จะสร้างความสุข.</div><div style="color: blue;"> การมีครู หรือสถาบันของครูในโลกนี้ เพื่อให้มนุษย์มีประสิทธิภาพในการทำหน้าที่ของตน คือในการสร้างความสุขส่วนบุคคล และสร้างสันติภาพของโลกเป็นส่วนรวม เพื่อประโยชน์อย่างนี้ ; จะรับผิดชอบหรือไม่รับผิดชอบ มันไม่เป็นปัญหาอะไร. พระเจ้าหรือพระธรรม ย่อมศักดิ์สิทธิ์มากพอที่จะลงโทษ คนที่ไม่รับผิดชอบ หรือจะรางวัลคนที่รับผิดชอบ ที่ตั้งใจจะทำหน้าที่ให้ถูกต้องและสมบูรณ์.</div><div style="color: blue;"> รวมความแล้วก็ว่า ความมีครูอยู่ในโลกนี้ ก็เพื่อให้มนุษย์มีประสิทธิภาพ ในการที่จะสร้างสันติสุขส่วนตัวและส่วนสังคมทั้งโลก.</div><div style="color: blue;"> ทีนี้ ก็อยากจะพูดเป็นข้อที่ ๔ ว่าจะทำได้โดยวิธีใด ครูจะเป็นครูได้โดยวิธีใด ที่จะให้ถูกต้องตามความต้องการของธรรมชาติ ? ; นี่ก็ตอบอย่างกำปั้นทุบดิน ขอให้รักษาอุดมคติของครู คือทำให้ตรงตามอุดมคติของครู; ครูบริสุทธิ์ทำให้ถูกให้ตรง ให้สมบูรณ์ ตามอุดมคติของครู แล้วก็บริสุทธิ์ ทั้งนี้เพราะว่าเรายังมีครูที่ไม่บริสุทธิ์ จนเราอาจจะมองเห็นกันได้ทุกคนว่า ครูประเภทลูกจ้างก็มี ครูประเภทเรือจ้างก็มี แล้วก็ครูประเภทครูจริง ๆ บริสุทธิ์ก็มี.</div><div style="color: blue;"> ครูประเภทลูกจ้างนั้น คือครูจำเป็น ไม่มีปัญญาหากินอย่างอื่น ก็มารับจ้างเป็นครู นี่เรียกว่าครูลูกจ้าง. ครูเรือจ้าง หมายความว่าไม่มีปัญญาจะเดินไปทางอื่นได้ด้วยกำลังแข้งของตัว ต้องมาแฝงความเป็นครู เป็นสะพาน เป็นครูไปพลาง เรียนกฎหมายไปพลาง แล้วก็ไปเป็นอื่น ๆ ที่มันไม่ใช่ครู โดยอาศัยครูนี้เป็นเรือจ้าง ซึ่งก็มีอยู่มาก ; เป็นครูเท่าที่ความจำเป็นบังคับ แล้วก็เรียนกฎหมาย แล้วก็ไปเป็นผู้พิพากษา หรือไปเป็นอะไรก็ตามใจ นี่อย่างนี้เขาเรียกว่า เป็นครูอย่างเรือจ้าง.</div><div style="color: blue;"> ส่วนครูแท้ ๆ นั่นไม่เป็นอย่างนี้ ทำหน้าที่ยกวิญญาณของมนุษย์ หรือของเด็ก ๆ นี้ให้สูงตะพึด ก้มหน้าก้มตาแต่จะทำหน้าที่นี้ ; ไม่คำนึงถึงประโยชน์เป็นเงินเดือนหรือเป็นอะไร. นี่ตรงกับครู ความหมายของคำว่าครูดั้งเดิมโบราณกาลหลายพันปีมาแล้ว : เขาไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์ที่จะได้รับตอบแทน จะคำนึงแต่หน้าที่ที่จะยกวิญญาณของสัตว์ในโลก ให้สูงขึ้นเท่านั้น, แล้วยังถือว่าเอาบุญให้ฟรี เมื่อครูมีข้าวกินโดยทางอื่นแล้ว ก็สอนให้ฟรี.</div><div style="color: blue;"> พระพุทธเจ้าก็เป็นครู แล้วก็สอนฟรี คำว่าสอนฟรีนี้ ที่แท้ก็ไม่ค่อยถูกนัก, เพราะว่า พระพุทธเจ้าท่านมีอาหารฉัน ก็เพราะความเป็นครูของท่านเหมือนกัน. หรือว่าภิกษุที่สืบอายุพระศาสนามากระทั่งเดี๋ยวนี้ มีอาหารฉัน นั่นก็เพราะทำหน้าที่ครูเหมือนกัน อยู่เฉย ๆ คงไม่มีใครเอาข้าวมาให้กิน ; แต่เนื่องจากว่าเขาทำไว้แต่ก่อนโน้นดีจนเป็นสถาบัน ฉะนั้น เป็นพระก็เลยมีข้าวกิน. จะทำงานหรือไม่ทำงานก็ตามใจ จะเป็นครูหรือไม่เป็นครูก็ตามใจ เป็นพระละก็มีข้าวกิน มันเกิดเป็นสถาบันอย่างนี้ ; แต่ว่าเนื้อแท้นั้น มันมาจากการที่ทำประโยชน์ คือช่วยเหลือสรรพสัตว์ให้มีความรอดในทางวิญญาณ.</div><div style="color: blue;"> ความรอดทางวิญญาณ เป็นภาษาศาสนา แท้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เป็นภาษาทางศาสนา : ภาษาศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอะไรก็ตาม เขามีความมุ่งหมายอยู่ที่ "ความรอดทางวิญญาณ". อย่างพุทธศาสนาก็เรียกว่า วิมุตติ หลุดพ้นไปจากกองทุกข์ หรือรอดในทางวิญญาณ สอนวิชานี้ ทำหน้าที่นี้ พระก็มีข้าวกินก็เพราะเหตุว่าสิ่งที่สอนให้ไป นั้นมีค่ามาก และสูงมาก, ส่วนข้าวปลาอาหารจาน ๆ หนึ่งนี้ มันไม่กี่สตางค์ ; แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้า หรือสาวกของพระพุทธเจ้าให้ไปนั้นมันมาก.</div><div style="color: blue;"> นี้ก็เลยเรียก เป็นโวหารอย่างใหม่ ขึ้นมาว่า "ท่านบริโภคอย่างเจ้าหนี้" คือท่านให้ไปมากเหลือเฟือ ล้นหล้าฟ้าเขียวไปเลย แล้วที่รับมาฉันบิณฑบาต มาเช้า ๆ วันหนึ่ง มันไม่กี่สตางค์ เรียกว่าท่านบริโภคอย่างเจ้าหนี้ ; เพราะว่าสัตว์โลกเป็นหนี้บุญคุณของท่าน แต่รวมความแล้วก็ต้องทำงาน.</div><div style="color: blue;"> นี่เราเป็นครูสมัยนี้ สอนหนังสือก็อย่าได้ถือว่ามันเป็นค่าจ้าง หรือว่าเป็นอะไร ; ถือว่าเหมือนกับของใส่บาตร ที่ประชาชนหรือสังคมเขาใส่บาตรให้ครูได้ เลี้ยงชีวิตรอดอยู่ได้ คิดอย่างนี้ดีกว่า. ถ้าคิดเป็นอย่างอื่นแล้วกลายเป็นลูกจ้าง เป็นเรือจ้างไปทันที เป็นครูประเภทลูกจ้าง ประเภทเรือจ้างไปทันที. แต่ถ้าในใจคิดแน่วแน่อยู่ที่ว่า ครูทำหน้าที่ของครูในการยกวิญญาณของเด็ก อย่างนี้แล้ว เงินเดือนก็กลายเป็นของบูชา เหมือนกับชองใส่บาตร ในลักษณะที่เป็นการบูชา.</div><div style="color: blue;"> การใส่บาต นี้เขาไม่เรียกว่าให้ทาน ให้ทานนั้นผู้รับเลวกว่า ผู้รับด้อยความสามารถกว่า ; อย่างขอทานอย่างนี้ ก็เรียกให้ทาน ; แต่ถ้าเอาของไป ถวายพระพุทธเจ้านี้ กลายเป็นของบูชา เพราะพระพุทธเจ้ามีหนี้บุญคุณอยู่เหนือบุคคลที่ให้ทาน. ครูนี่ก็เหมือนกัน ถ้าทำหน้าที่ของครูบริสุทธิ์ และสมบูรณ์แล้ว ก็กลายเป็นเจ้าหนี้ ; ฉะนั้นเงินเดือนก็กลายเป็นขี้ฝุ่น คือบูชาอยู่ที่แทบฝ่าเท้า ไม่มาอยู่บนหัวเรา. แต่ถ้าเราไปหลงเงินเดือนแล้ว เงินก็มาอยู่บนหัวเรา แล้วเราก็กลายเป็นลูกจ้าง ; นี่ความหมายของคำว่า ครูประเภทลูกจ้าง ประเภทเรือจ้าง ประเภทอุดมคตินั้นเป็นอย่างนี้.</div><div style="color: blue;"> เราจะทำหน้าที่ครูได้ดี ก็ด้วยการบูชาอุดมคติ รักษาอุดมคติ ; ยิ่งมีเงินเดือนน้อย เรายิ่งเป็นครูมากขึ้น. ขอให้ฟังดูให้ดี ยิ่งได้เงินเดือนน้อย นั่นแหละจะยิ่งเป็นครูสมบูรณ์และบริสุทธิ์มากขึ้น. เอาละพูดกันตรง ๆ ว่า ยิ่งไม่เป็นข้าราชการจะยิ่งเป็นครูมากขึ้น, ฉะนั้น เขาจะให้เป็นข้าราชการหรือไม่เป็น ไม่ใช่เป็นเรื่องสำคัญ ยิ่งไม่เป็นข้าราชการยิ่งเป็นครูมากขึ้น, และยิ่งเป็นข้าราชการ ก็ยิ่งเป็นอย่างอื่นไปมากขึ้น ; แล้วยิ่งลำบากมากนั่นแหละยิ่งเป็นครูมากขึ้น หรือเป็นครูที่มีอุดมคติมากขึ้น. ฉะนั้น ชื่อว่าครูแล้วต้องลำบาก เพราะเป็นงานของปูชนียบุคคล. เขาว่าครูบาอาจารย์มีพระเดชพระคุณอยู่เหนือเกล้าเหนือเศียร เป็นปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้าง. ทีนี้ครูไปทำผิดเสียเอง จนไปกลายเป็นลูกจ้าง.</div><div style="color: blue; text-align: center;">****** </div><div style="color: blue; text-align: left;"><b>ปลายชอล์กจาก http://www.buddhadasa.org</b></div><div style="color: blue; text-align: center;"><span style="font-size: medium;"><br />
</span></div><span style="font-size: medium;"><b><span style="color: blue;"> </span></b></span></div><div class="blogger-post-footer"><img width='1' height='1' src='https://blogger.googleusercontent.com/tracker/340816613843437405-9061294068951853682?l=krukrabkru.blogspot.com' alt='' /></div>Tia Teedeehttp://www.blogger.com/profile/15431183099594541132noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-340816613843437405.post-46018670911946944092011-11-30T20:09:00.000-08:002011-12-01T00:46:44.107-08:002011-12-01T00:46:44.107-08:00วิญญาณของความเป็นครู<div style="color: blue; text-align: center;"><span style="font-size: medium;"><span style="font-size: large;"> <b> วิญญาณของความเป็นครู</b></span></span></div><div style="color: blue; text-align: center;"><span style="font-size: medium;"><b><span style="color: blue;"> โดย พุทธทาสภิกขุ </span></b></span></div><div style="color: blue; text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://3.bp.blogspot.com/-zMYEfGDNKzQ/Ttb9_HOJ5BI/AAAAAAAAEps/ze4qvQqpt5I/s1600/%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%259719.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://3.bp.blogspot.com/-zMYEfGDNKzQ/Ttb9_HOJ5BI/AAAAAAAAEps/ze4qvQqpt5I/s320/%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%259719.jpg" width="240" /></a></div></div><div style="color: blue; text-align: left;"><span style="font-size: large;"><b>ตอน </b></span><span style="font-size: large;">ขอให้รักษาอุดมคติเดิม ๆ หรือว่าอย่างน้อย ก็ให้รู้ว่าครูนี้เป็น ปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้าง. </span></div><div style="color: blue; text-align: left;"><span style="font-size: large;"></span><b><span style="font-size: large;"> ตั้</span></b><span style="color: blue;">งแต่อาตมาเป็นเด็ก ๆ แล้ว ครูก็สอนให้เห็นว่าครูเป็นปูชนียบุคคลมากที่สุด. แล้วรุ่นต่อมานี้มันจางลง - จางลง จนเด็ก ๆ สมัยนี้ไม่เห็นครูเป็นปูชนียบุคคล ; เด็กเดี๋ยวนี้เห็นครูเป็นลูกจ้าง, นี่ผลของอะไรก็ลองคิดดูเองก็แล้วกัน ; แต่ อยากจะโทษว่าเพราะครูสอนไม่ดี เด็ก ๆ จึงไม่เห็นครูเป็นปูชนียบุคคล. ถ้าครูสอนให้ดี ทำตัวให้ดี อะไรดี เด็ก ๆ จะเห็นครูเป็นปูชนียบุคคล ปัญหามันก็จะหมด. เดี๋ยวนี้ปัญหาที่จะเผาประเทศให้ไหม้เป็นไฟไปก็คือว่าเด็ก ๆ ไม่นับถือว่าครูเป็นปูชนียบุคคล ไม่เคารพครู.</span><br />
<div style="color: blue;"> ถ้าเด็กไม่เคารพครู สิ่งต่าง ๆ เป็นไปไม่ได้, เพียงแต่ไม่เคารพครูอย่างเดียวเท่านั้น ปัญหาต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นมาก แล้วแก้ไม่ได้ ; ฉะนั้น เด็ก ๆ จะต้องไปเป็นอะไร ชนิดที่สร้างความยุ่งยากลำบากแก่สังคมมากขึ้น.</div><div style="color: blue;"> ขอให้รักษาอุดมคติของคำว่า ครู ชนิดที่เป็นครู ครูบริสุทธิ์ไว้ ; จะทำได้อย่างไร ? ก็ทำได้ด้วยการเอาธรรมะเข้ามา. พูดสมัยใหม่ก็ว่าประยุกต์ธรรมะนี้ให้เข้ากับครู : ให้ครูมีธรรมะ ครูก็กลายเป็นธรรมบุตร เหมือนกับชื่อของค่ายนี้ว่า ค่ายธรรมบุตร. ธรรมบุตร แปลว่า บุตรแห่งธรรม หรือลูกแห่งธรรม. ผู้ใดเอาธรรมะมาประยุกต์เข้ากับชีวิตของตน มีอยู่ที่ กาย วาจา ใจ แล้ว คนนั้นก็กลายเป็นธรรมบุตร เป็นบุตรของพระธรรม เป็นบุตรของพระเจ้า, หรือเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าไปในที่สุด.</div><div style="color: blue;"> ตัวครูเองต้องทำตัวให้เป็นธรรมบุตรเสียก่อน เราจึงสามารถทำเด็ก ๆ ให้เป็นธรรมบุตรได้. เรานี่ทำตัวให้เป็นธรรมบุตรโดยถูกต้องเสียก่อน แล้วเราก็จะสามารถทำให้เด็ก ๆ กลายเป็นธรรมบุตรได้. ถ้าเราก็เป็นธรรมบุตรไม่ได้ ก็ไม่มีหวังในข้อนี้ ที่จะไปให้เด็กเป็นธรรมบุตรได้ ในเมื่อเราเป็นไม่ได้.</div><div style="color: blue;"> ลองไปคิดดูถึงความหมายของคำว่าธรรมบุตร ลูกของพระธรรม, เป็นลูกของพระธรรม เป็นบุตรของพระธรรม ก็ต้องบูชาพระธรรมยิ่งกว่าสิ่งใด. มอบชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นให้แก่พระธรรมได้ ; ดังนั้น จึงมีธรรมะอยู่ที่เนื้อที่ตัว ที่กาย ที่วาจา ที่ใจของเรา ; แม้เราจะไม่รู้ ก็เป็นผู้มีธรรม และเป็นธรรมบุตรอยู่ในตัว. บัดนี้ครูอยู่ที่ไหน ๆ ก็มาที่นี่, มานั่งอยู่ที่นี่ซึ่งเรียกว่าค่ายธรรมบุตรแล้ว ; อาตมาขอร้อง, ขอวิงวอนขอร้องว่า อย่าให้เสียทีเปล่า ที่ได้เข้ามานั่งนอนในค่ายธรรมบุตรนี้ ขอให้มีความเป็นธรรมบุตรนี้ติดตัวไปด้วย แล้วก็จะสามารถนำเด็ก ๆ ให้เป็นธรรมบุตร สืบ ๆ สืบ ๆ ต่อกันไปไม่รู้ขาดสาย.</div><div style="color: blue;"> ทั้งหมดนี้ สำเร็จได้ด้วยการยอมเสียสละ ถ้าไม่มีการเสียสละแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ; เพราะว่าครูเป็นปูชนียบุคคล มีเดิมพันอยู่ที่การเสียสละ. ถ้า ไม่มีการเสียสละแล้วไม่มีการเป็นครู ; นี่เพราะว่าครูเป็นปูชนียบุคคล มีพระเดชพระคุณท่วมท้นอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของคนทั้งหลาย ก็เพราะเหตุเพียงอย่างเดียวคือ ว่าเสียสละ ; เรายอมเสียสละทุกอย่างทุกประการ เพื่อหน้าที่ของเรา.</div><div style="color: blue;"> อุดมคติของครู ก็คือ อุดมคติของโพธิสัตว์ คงจะเคยได้ยินกันมา คำว่า "โพธิสัตว์" หรือพระโพธิสัตว์. อย่าได้เข้าใจเป็นอย่างอื่นสำหรับคำว่าพระโพธิสัตว์นั้น มีสปิริต หรือวิญญาณอยู่ตรงที่ว่าเป็น ผู้เสียสละ ผู้บูชาความเสียสละ เขาจึงเรียกว่าโพธิสัตว์. พระพุทธเจ้าก็เป็นโพธิสัตว์ก่อนตลอดเวลานั้น ก็คือเสียสละทุกอย่างทุกประการ จึงเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด, หรือพระโพธิสัตว์องค์ไหนก็ตาม จะมีชื่อว่าโพธิสัตว์ได้ ก็มีวิญญาณเป็นการเสียสละทั้งนั้น ; อย่างอื่นไม่มี ไม่ใช่จุดมุ่งหมายอันใหญ่ จุดมุ่งหมายอันใหญ่ก็คือการเสียสละ. ส่วนสติปัญญาความเมตตากรุณานั้นก็มาเป็นของแวดล้อม เป็นของประกอบ ; ถ้าเรายอม ยอมเสียสละได้แล้ว เราก็แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้.</div><div style="color: blue;"> ในเมื่ออุดมคติของครูก็คืออุดมคติของโพธิสัตว์ ดังนั้น ก็หลีกการเสียสละไปไม่พ้น ; ฉะนั้น ขอให้ชอบให้พอใจ ในการเสียสละ : คือ เสียสละเพื่อมนุษย์ ไม่ใช่เสียสละเพื่อเรา. ถ้าเสียสละเพื่อเราไม่ใช่การเสียสละ.</div><div style="color: blue;"> ขออภัยที่ต้องย้ำหรือขอเตือนทั้งที่เข้าใจว่า คงจะทราบกันอยู่แล้ว แต่กลัวจะเผลอ ; ถ้าเสียสละเพื่อประโยชน์แก่เราแล้ว มันไม่ใช่การเสียสละ การเสียสละต้องเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น ซึ่งไม่ใช่เรา.</div><div style="color: blue;"> ที่เราเหน็ดเหนื่อยอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อเราจะได้ขึ้นเงินเดือนหรือเพื่ออะไรนี้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าการเสียสละ. ถ้าเป็นการ เสียสละ ก็คือว่า ให้แก่ผู้อื่น คือการทำลายความเห็นแก่ตัวออกไปได้ มันจึงจะเรียกว่าเป็นการเสียสละ. ทีนี้ พอพูดเพียงเท่านี้ท่านทั้งหลายทุกคนก็จะมองเห็นเป็นวงกว้างออกไป ว่า ปัญหายุ่งยาก ของประเทศไทยเรา ของรัฐบาล ของประชาชนอะไร มันจะอยู่ที่การเสียสละ. นี่พูดแล้วเดี๋ยวจะเป็นการเมือง ไม่ต้องพูดมาก ; มันอยู่ที่ไม่มีใครยอมเสียสละ มีแต่จะกอบโกย.</div><div style="color: blue;"> ถ้าพวกครูเกิดเป็นพวกกอบโกยขึ้นมาละก็ หมดเลย โลกนี้ไม่มีที่พึ่ง ; เพราะว่าครูเป็นผู้ปั้นวิญญาณของอนุชนเด็ก ๆ เล็ก ๆ ให้เติบโตขึ้นมาตามลำดับ. เด็ก ๆ เหล่านี้ ไปเป็นนายกรัฐมนตรี ไปเป็นประธานาธิบดีอะไรเข้ามันก็แย่. เราจะต้องปั้นวิญญาณของเด็ก ๆ ให้เป็นไปถูกทาง แล้วโลกนี้ก็จะรอดได้ : แล้วเราต้องเสียสละ ส่วนเงินเดือนอะไร ยศถาบรรดาศักดิ์อะไรนั้น มันเป็นเครื่องประดับ ; อุดมคติแท้ ๆ อยู่ที่การเสียสละ เพื่อจะยกวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย ให้สูงขึ้นให้จงได้เท่านั้นเอง.</div><div style="color: blue;"> นี่สรุปความกันเสียทีว่า เป็นครู - นี่ครูนี้คืออะไร ? ครูนี้คือผู้ยกวิญญาณหรือผู้นำในทางวิญญาณของสัตว์โลก. เนื่องจากอะไร ? เนื่องจากธรรมชาติอันเร้นลับหรือพระเจ้าหรือพระธรรม ต้องการให้มีบุคคลชนิดนี้อยู่ในโลก. เพื่อประโยชน์อะไร ? เพื่อประสิทธิภาพของมนุษย์ในการเป็นมนุษย์ที่ดี และเพื่อจะได้มีสันติสุขทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวม. แล้วก็จะสำเร็จได้โดยวิธีใด ? จะสำเร็จได้โดยการเสียสละ เพื่อทำตนให้เป็นครูอุดมคติ ด้วยการมีธรรมะ ประยุกต์ธรรมะให้เข้ากันกับความเป็นครู. นี่เป็น logic ง่าย ๆ ว่า ครูคืออะไร จากอะไร เพื่ออะไร โดยวิธีใด ใน ๔ หัวข้อ.</div><div style="color: blue;"> <b>ครูคืออะไร ? คือผู้ยกวิญญาณของโลก ; เนื่องจากอะไร ? เนื่องจากธรรมชาติต้องการ ; เพื่อประโยชน์อะไร ? เพื่อมนุษย์จะมีประสิทธิภาพในการสร้างสันติสุข ; และโดยวิธีใด ? ก็โดยเป็นครูที่ถูกต้องแท้จริงตามอุดมคติของคำว่าครู มีธรรมะ ประยุกต์ธรรมเข้ากับความเป็นครู เราก็เป็นธรรมบุตร.</b></div><div style="color: blue;"> นี่ ใจความสั้น ๆ มีเท่านี้ จะน่าฟังหรือไม่น่าฟังก็สุดแท้ ; แต่อาตมามีความรู้สึกใจจริงว่า คำพูดนี่จะมีประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายเป็นแน่นอน จึงได้เอามาพูด. ส่วนที่จะเพราะหรือไม่เพราะ น่าฟังหรือไม่น่าฟัง นั้นมันอีกเรื่องหนึ่งช่วยไม่ได้. อาตมานึกแล้วนึกอีกว่านับตั้งแต่ได้รับคำขอร้อง ให้มาพูดที่นี่ ก็นึกว่าจะพูดเรื่องอะไรดี นี้ก็นึกได้แต่อย่างนี้ ; นึกได้แต่ข้อความดังที่พูดไปแล้ว ว่านี้จะเป็น เรื่องที่จะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายซึ่งเป็นครู เหมือนกับอาตมา. อาตมาเป็นครู ท่านทั้งหลายก็เป็นครู แล้วก็พูดกันตรงไปตรงมา ในลักษณะอย่างนี้ เรียกว่า วิญญาณของความเป็นครู มีอยู่อย่างนี้.</div><div style="text-align: center;"><span style="color: blue;"> </span><i style="color: blue;">*******</i></div><div style="text-align: center;"><div style="color: blue; text-align: left;"><b>ปลายชอล์กจาก http://www.buddhadasa.org</b></div><div style="color: blue; text-align: center;"><span style="font-size: medium;"><br />
</span></div><i style="color: blue;"></i></div></div><div class="blogger-post-footer"><img width='1' height='1' src='https://blogger.googleusercontent.com/tracker/340816613843437405-4601867091194694409?l=krukrabkru.blogspot.com' alt='' /></div>Tia Teedeehttp://www.blogger.com/profile/15431183099594541132noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-340816613843437405.post-36150199106576952502011-11-29T23:44:00.000-08:002011-11-29T23:50:41.221-08:002011-11-29T23:50:41.221-08:00วิญญาณของความเป็นครู<div style="color: blue; text-align: center;"><span style="font-size: large;"> <span style="font-size: x-large;"> <b> วิญญาณของความเป็นครู</b></span></span></div><div style="color: blue; text-align: center;"><span style="font-size: large;"><b> โดย พุทธทาสภิกขุ </b></span></div><div style="color: blue; text-align: center;"><br />
</div><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://2.bp.blogspot.com/-pHbzTyIiBp0/TtXeM97RWoI/AAAAAAAAEpc/SdyMCSzqX90/s1600/%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%259718.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="213" src="http://2.bp.blogspot.com/-pHbzTyIiBp0/TtXeM97RWoI/AAAAAAAAEpc/SdyMCSzqX90/s320/%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%259718.jpg" width="320" /> </a></div><div style="color: blue; text-align: center;"><div style="color: blue; text-align: center;"><span style="font-size: large;">ตอน </span><span style="font-size: large;">เดี๋ยวนี้โลกทั้งโลกกลายเป็นโลกที่ไม่มีศาสนาหรือไม่มีธรรมะ</span></div></div><div style="color: blue; text-align: left;"><span style="font-size: large;"><b> </b></span> <span style="font-size: large;"><b>เ</b></span>ดี๋ยวนี้คนทั้งโลกสนใจสิ่งที่เรียกว่าธรรมะน้อยลง จนกระทั่งไม่รู้จักธรรมะ จนกระทั่งมีศาสนาแต่เพียงเปลือก หรือพิธีรีตอง ซึ่งเราพูดได้ว่า โลกกำลังไม่มีศาสนา. นี่อย่าเข้าใจว่า โลกไม่มีโบสถ์ วิหาร วัดวา อาราม พระเจ้า พระสงฆ์ ; สิ่งที่พูดถึงนั้นมี, มีอยู่แล้ว ; แต่นั่นมันเปลือกของศาสนา. เนื้อแท้ของศาสนาคือธรรมะ ที่คนจะต้องประพฤติปฏิบัติ อยู่ที่กาย ที่วาจา และที่ใจ. เปลือกก็มีความสำคัญ เพราะว่าเนื้ออยู่ไม่ได้โดยไม่มีเปลือก แต่ถ้ามีแต่เปลือกไม่มีเนื้อ แล้วก็ลองคิดดูเถอะว่า มันจะเป็นอย่างไร, จะกินเปลือกกันได้อย่างไร.</div> <b><span style="color: blue;"> </span><span style="color: blue; font-size: small;">โ</span><span style="color: blue;"><span style="font-size: small;">ล</span>กไม่มีศาสนา เพราะว่าคนเกลียดศาสนา รังเกียจทั้งโดยตรงทั้งโดยอ้อม, ไม่ปฏิบัติตามที่ศาสนาต้องการ ; จนมีคำล้อเกิดขึ้นมาว่า </span><span style="color: #660000;">"สมัยนี้พวกเราเอาแต่ไหว้ พอบอกให้ประพฤติธรรมก็กำหู"</span><span style="color: blue;">. ส่วนไหว้หรือทำพิธีรีตองนี้ก็ดูจะเก่งมาก หรือจะมากขึ้นเสียอีก ; แต่พอถึงทีที่จะต้องปฏิบัติตามนั้น มีอาการเหมือนกับอุดหู ไม่รู้ไม่ชี้ แกล้งไถลทำไก๋อะไรไปเสีย.</span></b><br />
<div style="color: blue;"> </div><div style="color: blue;"> โลกไม่มีศาสนา ! ที่เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เป็นเฉพาะพุทธศาสนา เป็นหมดทุกศาสนา ; เพราะว่าโลกทั้งโลก มันถูกครอบงำด้วยวัตถุนิยม หรือความเจริญอย่างแผนใหม่ คนในโลกกำลังหายใจเป็นวัตถุ แล้วก็บูชา วิชาเทคโนโลยี่ ที่จะช่วยให้สำเร็จประโยชน์ สำเร็จตามความต้องการในทางวัตถุ เขาบูชาเทคโนโลยี่แทนสิ่งที่เรียกว่าศาสนา. ศาสนาไม่มีวัตถุให้ เหมือนเทคโนโลยี่ ; ศาสนามีแต่ความรู้แจ้งในฝ่ายจิตฝ่ายวิญญาณให้. ส่วนคนไม่ต้องการ เพราะว่าเขาเห็นว่า ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ; ฉะนั้นจึงไม่พอใจ ไม่ชอบศาสนา ถือเป็นของทำให้เสียเวลา เป็นของครึคระ.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> แต่อย่างไรก็ดี ก็ทิ้งศาสนาเด็ดขาดไม่ได้ เพราะยังมีธรรมเนียม มีประเพณี ซึ่งมีอยู่ว่าจะต้องทำพิธีรีตองอย่างนั้น ๆ ; และอีกอย่างหนึ่งก็คือว่า ความโง่ของคนเหล่านั้นยังไม่หมด เพราะว่า ยังมีความกลัวเหลืออยู่. พอปัญหาที่มันเกิดขึ้นทางจิตใจ เขาก็มีความกลัว ; ไม่มีอะไรช่วยได้ เขาก็จะเรียกหาศาสนา เรียกหาพระเจ้า เรียกหาพระธรรม. เพราะฉะนั้นในกองทัพที่กำลังรบกันอยู่ ก็มีพิธีรีตองทางศาสนา, ทำอย่างพิธีรีตองล้วน ๆ เหมือนกับเครื่องจักร หรือเหมือนกับหุ่นยนต์ ; แต่ในใจนั้น ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะปฏิบัติตามพระเจ้า.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ถ้าปฏิบัติตามพระเจ้า ก็ให้อภัยกันเสีย ไม่รบ ไม่รา ไม่ฆ่า ไม่ฟันกัน ; อย่าง พุทธศาสนาเราก็สอนให้ให้อภัย สอนให้ไม่เบียดเบียน, ศาสนาคริสเตียนก็สอนในทำนองว่า เขาตบแก้มซ้ายแล้ว ก็ให้เขาตบแก้มขวาด้วย, เขาพยายามจะเอาเสื้อของเรา ก็เอาผ้าห่มไปให้เขาเสียด้วย, เราไม่มีโกรธ ไม่มีจองเวร ไม่มีอะไร. แต่เดี๋ยวนี้ ในโลกเวลานี้ ไม่มีชาติไหนจะถือหลักอย่างนี้ ; นี่คือไม่ถือศาสนา ไม่ถือพระเจ้า. ฉะนั้น โดยเนื้อแท้ โดยจิต โดยวิญญาณ โลกนี้กำลังไม่มีศาสนา ไม่มีธรรมะในกาย วาจา ใจ มีแต่พิธีรีตอง.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ที่พูดนี้ก็เพื่อจะชี้เพียงนิดเดียวว่า <b>มนุษย์นี้หันหลังให้ศาสนา ให้ความไม่เป็นธรรม, หรือให้ความอยุติธรรมแก่ศาสนา. พอถึงทีจวนตัว เขาตาจนขึ้นมาก็เรียกหาศาสนา ;</b> แต่แล้วก็ ไม่มีการปฏิบัติตามศาสนา ศาสนาไม่มีอยู่ในลักษณะที่เป็นตัวแท้ของศาสนา คือ มีอยู่เพียงพิธีรีตอง.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> นี่คือข้อที่จะต้องนึก นึกเห็นแล้วจะสังเวช ว่าคนกำลังไม่มีธรรมะมากขึ้น คนเบียดเบียนกันไปทั้งโลกนี้อย่างหนึ่ง. หรือพูดแคบเข้ามาก็คือว่า สิ่งที่เรียกว่าธรรมะหรือศาสนานั้น ช่วยให้มีคนดี ; ฟังดูให้ดีเถอะ ธรรมะช่วยให้มีคนดี. แต่เดี๋ยวนี้สิ่งต่าง ๆ หรือปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้น เพราะโลกไม่มีคนดีที่เพียงพอแก่หน้าที่การงานนั้น ๆ ; แม้ในประเทศไทยเรานี่แหละ ที่แก้ปัญหาอะไรต่าง ๆ ไม่ได้ ทำไปไม่รอด ก็เพราะไม่มีคนดีมากพอ ที่จะปฏิบัติหน้าที่นั้น ๆ.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ข้อนี้อย่าพูดกันให้มากนักเลย เดี๋ยวจะเป็นการกระทบกระเทือน ; เพราะว่าท่านทั้งหลายก็คงจะฟังออกหรือทราบอยู่แล้ว แม้โครงการจะดี แผนการจะดี เงินก็มีอะไรก็มี ; แต่ถ้าขาดคนดีแล้ว สิ่งเหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร คือเอาไปโกง ไปทำอะไรกันเสียหมด. โครงการดี ถ้าไม่มีคนดี มันก็ใช้อะไรไม่ได้ ; ไม่มีคนสุจริต ไม่มีคนยุติธรรม. สิ่งต่าง ๆ ก็เป็นไปในที่ไม่เป็นธรรม ก็คือทำให้เดือดร้อนและเบียดเบียนกัน. ถ้าเพียงแต่มีคนดีเท่านั้น อะไร ๆ ก็จะดีไปหมด : โครงการแผนการต่าง ๆ ทำได้ การบังคับบัญชาการปกครองก็จะดี ; เพราะมีคนดีที่ปฏิบัติได้ดี ได้จริง ได้ตรง มาเป็นลำดับ ๆ จนเป็นผู้เผด็จการได้.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> <b> เดี๋ยวนี้เราไม่ยอมให้ใครเป็นผู้เผด็จการ ก็เพราะเราไม่เชื่อว่า เขาจะเป็นคนจริงคนตรง. เราชอบประชาธิปไตย แต่แล้วเมื่อหลายคนเป็นคนโลเล เหลาะแหละ หรือเป็นกันทั้งหมด ประชาธิปไตยก็โลเลเหลาะแหละ มันก็ใช้ไม่ได้ เผด็จการก็ใช้ไม่ได้ เพราะมันขาดคนดี ; ถ้ามีคนดีเพียงอย่างเดียวแล้ว ยิ่งเผด็จการ ยิ่งดี ยิ่งเร็ว.</b></div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> เมื่อพระพุทธเจ้าท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านเป็นเผด็จการ ; ไปอ่านดูเถอะในพระบาลี จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นเผด็จการ ; เพราะฉะนั้น จึงทำสิ่งต่าง ๆ ไปได้โดยสะดวกและรวดเร็ว. แต่ เมื่อท่านจะปรินิพพาน ท่านกะแผนการล่วงหน้าไว้ว่า ถ้าปรินิพพานแล้ว ก็ต้องเป็นรูปประชาธิปไตย แล้วแต่สงฆ์ แล้วแต่หมู่แล้วแต่คณะ. ฉะนั้นถ้าคณะสงฆ์ดี สิ่งต่าง ๆ มันก็เป็นไปด้วยดี, ถ้าคณะสงฆ์เกิดไม่ดี มันก็ไม่ดี. ฉะนั้น จะรอดหรือไม่รอดนี้ มันอยู่ที่ว่าดีหรือไม่ดี. เมื่อเรามีคนดีสักคนหนึ่งเป็นผู้ระบุสิ่งต่าง ๆ ว่าคนนี้ควรฆ่าเสีย คนนี้ควรเอาไว้ ; มันก็วิเศษ เดี๋ยวนี้เราหาคนชนิดนั้นไม่ได้ แล้วเลยไม่ไว้ใจใคร จะตั้งใครให้เป็นคนเผด็จการอย่างนี้ มันก็ทำไม่ได้ เพราะมันไม่มีคนดี.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> <b> เราจึงควรจะมองเห็นประโยชน์ของธรรมะนี้ ว่าช่วยให้มีคนดี, มีธรรมะ แล้วสิ่งต่าง ๆ จะชั่วไม่ได้ จะเลวร้ายไม่ได้ จะเป็นไปแต่ในทางดี และโดยเร็ว. นี่พูดกันอย่างกว้าง ๆ ถึงคำว่าธรรมะ หรือประโยชน์ของธรรมะ และชี้ให้เห็นว่า เราจะต้องสนใจกับธรรมะ ตามสัดตามส่วนตามเวลาที่เรามี.</b></div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ท่านทั้งหลายเป็นครู มาประชุมอบรมกันที่นี่ ก็ล้วนแต่เรื่องเทคนิคของครู ; อาตมาจะไม่พูดเรื่องเหล่านี้ จะเอามะพร้าวมาขายสอน ไม่มีประโยชน์อะไร ; จะพูดเรื่องที่ไม่มีใครพูด คือเรื่องธรรมะ แต่แล้วก็กลับเป็นสิ่งที่จำเป็นแก่ครูทุกคน. ถ้าครูขาดธรรมะ ครูไม่เป็นครู เป็นครูแต่ชื่อ เป็นครูแต่ปาก เป็นครูแต่เปลือก, ถ้ามีธรรมะ ครูก็จะเป็นครูโดยแท้จริง โดยเนื้อแท้ ; ฉะนั้นเรื่องที่จะพูดวันนี้ก็คือ เรื่องวิญญาณของความเป็นครู.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> <i>คำว่า "วิญญาณ" มันก็มีความหมายกำกวม หมายถึงจิต ถึงวิญญาณ อย่างวิญญาณภูตผีปิศาจนั้นก็ได้ ; แต่คำว่า วิญญาณในที่นี้หมายถึงเนื้อแท้ เนื้อหาสาระ หัวใจของเรื่องก็ได้ หรือแปลว่า เจตนารมณ์ก็ได้. </i>คำว่า วิญญาณในลักษณะอย่างนี้ ตรงกับคำว่า spirit เช่น sporting - spirit คือวิญญาณแห่งความเป็นนักกีฬา. คำว่าวิญญาณอย่างนี้ตรงกับคำว่า spirit. คำว่า spirit แปลว่าเหล้าก็ได้ แปลว่าจิตใจก็ได้ แปลว่าผีก็ได้ แปลว่าเจตนารมณ์ก็ได้.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> เมื่อพูดว่าวิญญาณของความเป็นครู นี้ก็หมายความว่าเจตนารมณ์ของความเป็นครู, เนื้อแท้ หัวใจของความเป็นครู, กล่าวก็คือพูดเรื่องครู ในแง่ที่เกี่ยวกับธรรมะ มีธรรมะก็เป็นครู ไม่มีธรรมะก็ไม่เป็นครู.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ในข้อแรกก็อยากจะพูดโดยหัวข้อว่า ครูนี้คืออะไร ? เมื่อถามว่าครูคืออะไร ? มันก็เกี่ยวพันเนื่องไปถึงคำอื่น ๆ ซึ่งคล้ายกันหรือเนื่องกัน. ที่เราพูดกันติดปาก เช่นครูอุปัชฌาย์ อาจารย์ พระศาสดาอย่างนี้เป็นต้น มีอยู่มากคำ ล้วนแต่เนื่องกับคำว่าครูทั้งนั้น ; แล้วยิ่งกว่านั้น ยังมีคำอื่น ๆ ที่เนื่องกัน ไกลออกไปไกลออกไป. คำว่าครูนี้ เป็นคำภาษาบาลีหรือภาษาสันสกฤต นี้คำอื่น ๆ ก็ล้วนแต่เป็นคำบาลี หรือสันสกฤต อุปัชฌาย์ อาจารย์ ศาสดา กระทั่ง ฤาษี มุนี เรื่อยไป ที่จะขอโอกาสพูดตามสมควร.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> จะเริ่มมาแต่วงนอก เช่นคำว่า ฤาษี มุนี ดาบส นักสิทธิ์ วิทยาธร อะไรเหล่านี้ คือพวกที่ออกไปจากสังคมไปอยู่ในที่สงบสงัด คิดค้นวิชาความรู้. ขอให้เข้าใจว่า เมื่อหลายพันปีมาแล้ว ความรู้อย่างที่มนุษย์มี ๆ เดี๋ยวนี้ ยังไม่มี ยังไม่มีอะไรเลย. เมื่อหลายพันปีมาแล้ว ถ้าเราพูดก็ต้องเล็งถึงประเทศอินเดีย ที่เป็นต้นตอของวัฒนธรรมเหล่านี้. วัฒนธรรมไทยหรือศาสนาพุทธเรารับมาจากอินเดีย ; ฉะนั้นจึงไปรวมอยู่ที่ประเทศอินเดีย ซึ่งมีอายุหลายพันปีมาแล้ว. คนที่เขาเบื่อความเป็นอยู่อย่างซ้ำซาก ของความเป็นชาวบ้านนี้ เขาคิดว่ามันควรจะมีอะไรดีกว่าที่เป็น ๆ กันอยู่อย่างชาวบ้านนี้ ฉะนั้นจะต้องออกไปแสวงหา จึงไปสู่ที่สงัด คือป่า ถ้ำ ภูเขา ไกลสังคมออกไป เพื่อไปแสวงหา.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> <b>ผู้แสวงหา</b> เขาเรียกในภาษาบาลีก็คือว่า อิสิ หรือภาษาสันสกฤตก็คือคำว่า ฤษิ (ออกเสียงว่า ริชิ) เหมือนเราใช้คำว่า ฤาษี ในภาษาไทย. คำว่า ฤาษี นี้แปลว่าผู้แสวงหา, ถ้าเป็นคำบาลีก็ อิสิ หรือสันสกฤต ก็เป็นฤษี. ผู้ใดออกไปแสวงหาความจริง ความลับอะไรอย่างยิ่ง ในป่า ในที่สงบสงัด ค้นคว้าเป็นพิเศษนั้น เรียกฤาษีทั้งนั้น. ใครก็ได้ แม้พระพุทธเจ้าของเราก็ออกบวชในลักษณะฤาษี คือผู้ออกไปค้นคว้า.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> เรานึกถึงคนแรกที่สุด ที่ออกจากสังคมไปทำการค้นคว้าในป่า ค้นคว้าเรื่องที่สูงไปกว่าที่ชาวบ้านนี้รู้ ๆ กันอยู่ นั่นคือฤาษี ; ฤาษีนี้ยังไม่ใช่ครู เพราะว่าฤาษีรุ่นแรก ชุดแรก ยุคแรก ไม่สอน. พบอะไรบ้าง พบความจริงอะไรบ้างก็ประพันธ์ เป็นคำประพันธ์ ที่เรียกว่าคาถา. คำว่าคาถานี้ที่แท้คือประพันธ์ ตรงกับคำประพันธ์ เดี๋ยวนี้คือเป็นคำกลอน. ฤาษีเหล่านี้จะผูกความรู้ขึ้นเป็นคำกลอน แล้วท่องไว้ เพราะไม่มีกระดาษจด ไม่มีดินสอจะเขียน หรือจะสลักหินหรืออะไรไม่มีทั้งนั้น. การที่จะจำได้ก็จะต้องประพันธ์ขึ้นเป็นคำกลอน พูดให้เป็นคำกลอน, แล้วตัวเองก็ท่องไว้ มันง่ายกว่าที่จะท่องคำร้อยแก้ว.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> เมื่อฤาษีนั้นทำไปนานเข้า ๆ ก็มีคำกลอนหรือคาถาที่จำไว้ได้มาก หลายคาถา หลายโศลก ; ต่อเมื่อ มีคนไปพบ ไปเจอ ไปติดต่อด้วย อยากจะได้ ท่านจึง บอกคาถานี้ให้บ้าง แต่ไม่ใช่ด้วยเจตนาจะเป็นครู. ต่อมามันก็มากเข้า ๆ สิ่งที่เรียกว่าคาถานี้ คนก็ได้รับมาในฐานะที่เรียกว่ามนต์ เขาเรียกยุคนั้นว่า เป็นยุคมนต์ ได้รับคาถาจากฤาษีมาโดยไม่รู้ความหมายอะไรนัก ก็เกิดต้องการคนอธิบาย จึง มีผู้ให้ความหมายเป็นคำอธิบายขึ้นมาอีกพวกหนึ่ง เป็นยุคพราหมณะ คืออธิบายคาถา หรือสูตรต่าง ๆ ของพวกฤาษี. นี่ความรู้มันจึงค่อยเกิดขึ้น ๆ และมีทุกแขนงทุกวิชา.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ทีแรกก็ตั้งปัญหาว่า อะไรดี ? อะไรดีกว่า ? อะไรดีที่สุด ? แล้วฤาษีก็ไปค้นให้พบว่า อะไรดี ? อะไรดีกว่า อะไรดีที่สุด ? ในด้านการเป็นอยู่ การประพฤติ การกระทำ การอะไรก็ตาม พบอะไรก็ผูกเป็นคาถาไว้เสมอ. กาลต่อมาพร่าออกไปจนถึงเรื่องโลก เรื่องชาวบ้าน, แม้ที่สุดแต่เรื่องกิจกรรมระหว่างเพศ ฤาษีก็พยายามค้นและก็ได้ผูกเป็นคาถา เป็นสูตร เป็นอะไรด้วยเหมือนกัน สืบต่อกันลงมาอย่างนี้. นี้เรียกได้ว่าพวกฤาษี ยังไม่ได้เป็นครูโดยตรง ; แต่จะเห็นได้ว่า ฤาษี เป็นต้นกำเนิดของครู.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ส่วนที่เรียกว่า <b>มุนี ดาบส</b> อะไรต่อไปนี้ เป็นเพียงความหมายแขนงหนึ่ง ๆ คำว่า มุนี ก็แปลว่า ผู้รู้ เมื่อฤาษีเป็นผู้รู้ ฤาษีก็ได้ชื่อว่ามุนี. ดาบส แปลว่า ผู้ทำตบะ คือทำความเพียรอย่างแรงกล้า ก็เรียกว่าดาบส. ฤาษีก็เป็นผู้ทำความเพียร ทำตบะอย่างแรงกล้า เพราะฉะนั้น ฤาษีก็ได้ชื่อว่าเป็นดาบส. มีคำว่า สิทธา และคำว่า นักสิทธิ์ นี้ก็แปลว่า ผู้ประสบความสำเร็จ. ฤาษีพวกนี้ก็เป็นผู้ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้น จึงได้ชื่อว่าสิทธา หรือนักสิทธิ์ หรืออะไรต่าง ๆ</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ทีนี้ ยังมีคำอื่น ๆ ที่รองลงไป รองลงไป อีกมากมายหลายคำ กระทั่งถึงคำว่า <b>วิทยาธร</b> ซึ่งเป็นคำโบราณมาแต่เดิมเหมือนกัน ; วิทยาธร ก็แปลว่า ผู้ทรงวิทยา แต่ก็ไม่ใช่ครู. พวกวิทยาธร, เพทยาธร อะไรพวกนั้นเป็นผีเจ้าชู้ เป็นเทวดาเจ้าชู้มากกว่า ลองฟังดูซิ วิทยา แปลว่า ความรู้ ธร แปลว่า ทรงไว้ ทรงไว้ซึ่งความรู้ ; แต่พวกเทพยาธรกลายเป็นพวกผีเจ้าชู้ พวกเทวดาเจ้าชู้ ไม่มีความหมายว่าครูเหมือนพวกเราซึ่งมีวิชาความรู้ ทรงไว้ซึ่งความรู้. ฉะนั้น ระวังคำว่าวิทยาธร วิทยาอะไรเหล่านี้ไว้บ้าง ; ไปอ่านเรื่องวิทยาธร แล้วจะพบว่า มีการกระทำอย่างเจ้าชู้ เป็นผีบ้าง เป็นเทวดาบ้าง ก็ไม่ใช่กำเนิดของครู. ถ้ามองดูกัน ก็จะพบว่าพวกมุนี ฤาษีนี้ จะพอเป็นต้นกำเนิดของครู ; แต่ยังไม่ใช่ครู เพราะยังไม่ทำหน้าที่สอนผู้อื่นโดยตรง หรือเป็นอาชีพ ก็เลยเรียกฤาษี มุนี ดาบส นักพรต อะไรไปตามเรื่อง.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ต่อมาสิ่งต่าง ๆ มันเป็นรูปเป็นร่างดีขึ้น จนมีผู้รับสอนรับแก้ปัญหา คือตอบคำถามในเรื่องนี้โดยตรง เหมือนกับเป็นสถาบัน ที่รับตอบปัญหาทางด้านจิต ด้านวิญญาณ ไม่ใช่เรื่องทำมาหากิน ไม่ใช่เรื่องสอนหนังสือ แต่เป็นเรื่องไขปัญหาทางจิต ทางวิญญาณ เป็นผู้นำในทางวิญญาณ. บุคคลประเภทนี้คือบุคคลที่เรียกว่าคุรุ หรือครู ในภาษาไทย. ดิคชั่นนารีภาษาสันสกฤตที่เป็นชั้นมาตรฐานทุกเล่มจะ แปลคำว่าครูนี้ว่า spiritual guide คือเป็น GUIDE ในทางวิญญาณ. ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่มีหน้าที่สอนหนังสืออย่างพวกเรา หรือสอนวิชาชีพอย่างพวกเรา. นี่คำเดิมของเขาเป็นอย่างนี้. ต่อเมื่อถูกยืมมาใช้ในภาษาไทยใหม่ ๆ หยก ๆ นี้ จึงเปลี่ยนความหมายเป็นสอนหนังสือ, สอนวิชาชีพ ; โดยเนื้อแท้ดั้งเดิมเป็นผู้นำในทางวิญญาณ.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> คำว่า <b>อุปัชฌาย์</b> เสียอีก เป็นครูสอนอาชีพ ; คำว่า ครู แปลว่า หนัก หนัก มีบุญคุณ มีคุณค่า มีความหมาย. อาตมาอยากจะพูดคำว่า "หนัก" คือมีบุญคุณอยู่เหนือศีรษะคนทุกคน สำหรับคำว่าครู. อุปัชฌาย์ ตัวหนังสือแปลว่า ผู้ที่ใคร ๆ ควรจะเข้าไปเพ่งเล็ง ; แต่ความหมายที่เห็นอยู่ในภาษาสันสกฤตนั้น แปลเป็นครูสอนวิชาชีพ วิชาชีพอะไรก็ได้ เช่นวิชาดนตรีนี้ ผู้สอนดนตรีก็เรียกว่าอุปัชฌาย์.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ลองไปเปิดหนังสือ อย่างหนังสือปรียทรรศิกา ที่เป็นหนังสือสันสกฤตบทละครนั้น จะพบคำว่า <i>อุวชฺฌาโอ</i> อุปัชฌาย์นี้ ชาวบ้านเรียก <i>อุวชฺฌาโอ</i> สอนดีดพิณนั้นเป็นภาษาปรากฤต. ขอเทียบให้ฟังว่า ถ้าเป็นภาษาปรากฤต คือภาษากลางบ้านนี้ <i>อุวชฺฌาโอ</i>, ถ้าเป็นภาษาบาลีก็ <i>อุปชฺฌาโย</i>, ถ้าเป็นภาษาสันสกฤตว่า <i>อุปาธฺยาโย</i> เสียงมันออกไปต่าง ๆ กันตามหลักของภาษา ; แต่คำ ๆ เดียวกัน. ภาษาปรากฤต ภาษาชาวบ้าน ชาวไร่ ชาวนา นี้ว่า อุวชฺฌาโอ คือคำว่า อุปัชฌาโย อุปัชฌาย์. </div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> อุปัชฌาย์ นี้คือครูสอนอาชีพ, หรือผู้สอนอาชีพที่ทุกคนจะต้องเข้าไปเพ่งเล็งเลือกให้เหมาะกับอาชีพของตนของ ตน ; เดี๋ยวนี้ พอมาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา ก็เลยกลายเป็นพระอุปัชฌายะ ผู้ให้บรรพชาอุปสมบท นั้นเป็นอาชีพของสมณะ. อาจจะไม่เคยได้ยินกระมัง อยากจะบอกให้ทราบว่า มีคำว่าอาชีพ สิกขาสาชีพ อย่างภิกษุทั้งหลายนี่. คำว่า อาชีพ นี้ มันแปลไม่ใช่เหมือนกับที่ว่าทำมาหากิน ; เป็นแบบแห่งการดำเนินชีวิตอยู่ ให้รอดอยู่ได้ไม่ตายเท่านั้น. การเป็นภิกษุก็จัดเป็นอาชีพชนิดหนึ่ง : สิกขาและสาชีพอย่างภิกษุ. เดี๋ยวนี้เราใช้คำว่าอุปัชฌาย์กันในความหมายเพียงอุปัชฌาย์บวชนาค ไม่ได้ใช้ในความหมายเดิมบรมโบราณ ที่ว่าเป็นครูสอนอาชีพ.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ทีนี้ มาถึงคำว่า <b>อาจารย์</b>, อาจาระ แปลว่า มารยาท ; อาจริยะ แปลว่า ผู้ช่วยฝึกมรรยาท นี่ก็คือครูสอนจริยศึกษา. ต้องมีผู้เป็นอาจารย์ เพราะเรามีแต่ความรู้ความสามารถอย่างอื่น แต่ไม่มีอาจาระหรือมรรยาทที่ดี นั้นเป็นไปไม่ได้ เป็นคนไปไม่ได้ ; นี้คือ อาจารย์สำหรับหน้าที่ฝึกมรรยาท.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ไกลออกไปถึงคำว่า <b>ศาสดา สัตถา</b> ในบาลี, ภาษาไทยก็ว่า ศาสดา ; พระพุทธเจ้าเป็นพระบรมศาสดา. คำนี้ถ้าแปลตามตัวหนังสือโดยตรงก็ว่า ผู้ให้ซึ่งศาสตร์ ศาสตระ. คำว่า ศาสตร์ นี้แปลว่า อาวุธ สัตถ หรือ ศาสตร ก็ตาม แปลว่า อาวุธ ทางนามธรรมหมายถึงปัญญา วิชาในชั้นสูงก็เรียกว่าศาสตร์.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> พระศาสดา หรือสัตถา นี่คือผู้ให้ศาสตร์ หรือให้อาวุธ หมายถึงวิชาที่จะตัดกิเลส ; แต่ก็มีคำว่า ศาสตร์ ในความหมายอย่างอื่น เช่น คชศาสตร์ อะไรศาสตร์ ล้วนแต่ศาสตร์ ๆ อยู่มากมาย ; ความหมายก็อย่างเดียวกัน คือในฐานะที่เป็นอาวุธสำหรับใช้แก้ปัญหาอย่างใดอย่างหนึ่ง ผู้สอนอย่างนี้เรียกว่าสัตถา หรือศาสดา.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> เดี๋ยวนี้ ในภาษาไทยเรามีคำที่เข้าทีอยู่ว่า ศาสตราจารย์ คำนั้นเข้าที แต่ว่าจะปฏิบัติให้ตรงตามความหมายของคำหรือไม่นั้น ไปดูเอาเองก็แล้วกัน.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> <b>คำว่าศาสดาก็แปลว่าผู้ให้ศาสตร์ ศาสตร์ คือ อาวุธ ให้ความรู้ชั้นสูงสำหรับตัดปัญหาทั้งหมด แต่เดี๋ยวนี้ เราใช้คำว่าศาสดากัน แต่พระพุทธเจ้า หรือผู้ที่ตั้งพระศาสนา ศาสนาใดศาสนาหนึ่งเท่านั้น.</b></div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ที่เอามาพูดให้ฟังนี้ ก็เพื่อว่าจะได้ค้นดูที ว่า วิญญาณของความเป็นครูอยู่ที่ไหน ? คำว่า ครูแท้ ๆ ก็คือ ผู้นำในทางวิญญาณ. คำว่าอุปัชฌาย์ แปลว่า ผู้ที่ควรเข้าไปเพ่ง เพื่อรู้วิชาชีพ. คำว่า อาจารย์ ก็ผู้ฝึกมรรยาท คำว่า ศาสดา ก็ผู้ให้ความรู้ชนิดเป็นศาสตร์ เช่นพุทธศาสตร์ อย่างนี้เป็นต้น.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> ทีนี้ คำว่า <b>ครู</b> มีความหมายอะไรอยู่ที่ตรงไหน ? ความหมายคงจะรวมไว้ได้หมด, ถ้าเรา เอาความหมายของคำว่าครูอย่างเดี๋ยวนี้ สอนพุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา หัตถศึกษา อะไรต่าง ๆ ; แต่ความหมายที่สูงสุด หรือเป็นวิญญาณเป็น spirit นั้น ไม่พ้นไปจากคำเดิมของคำว่าคุรุ หรือครู คือผู้นำในทางวิญญาณ. แม้เราจะสอนหนังสือเด็ก ก็ขอให้สอนไปในลักษณะที่ว่า ให้วิญญาณของเด็กสว่างไสวแจ่มแจ้งเจริญงอกงามขึ้น, ถ้าเราทำหน้าที่นี้ถูกต้องจะไม่มีเด็กชกต่อยกันในสนามกีฬา หรือขว้างระเบิดขวด. ที่ขว้างระเบิดขวดหรืออะไรนั่น เพราะวิญญาณไม่สูง วิญญาณมันต่ำ ยิ่งเรียนรู้มากวิชาเข้า วิญญาณยิ่งต่ำ ฉะนั้น จึงมีทำถึงขนาดนั้น แม้ในชั้นโรงเรียนชั้นสูง ชั้นมหาวิทยาลัย ชั้นอะไรต่าง ๆ.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> นี่อยากจะพูดว่า เดี๋ยวนี้ ครูไม่ได้ทำหน้าที่ของครู ; หรือทำหน้าที่แต่เพียงเปลือก หรือตัวหนังสือ : หมายความว่าสอนตะบันไปในเรื่องวิชา วิชาชีพ วิชาอะไรก็ตาม ; แต่ไม่ได้ยกวิญญาณให้สูงขึ้น. นี่ขอให้ดูความสำคัญของคำว่าครู ถ้าครูยังมีอยู่ในโลกนี้ ในประเทศไทยเรานี้ อันตรายชนิดอย่างที่ว่านี้ จะไม่เกิดขึ้น.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> นี่พูดมาถึงขนาดนี้ บางคนจะรู้สึกว่าอาตมาด่าแล้ว หรือพูดกระทบกระเทียบแล้ว ; ก็ไม่เป็นไร เพราะ ต้องการจะพูดเพื่อประโยชน์แก่คนทุกคน หรือแก่ประเทศชาติ ว่าเรากำลังขาดบุคคลที่เป็นครูที่ถูกต้องตามเจตนารมณ์ ของคำ ๆ นี้. เราอาจจะมีครูเป็นหมื่นเป็นแสนก็ได้ ในที่สุด แต่ต้องวัดผลกันด้วยข้อที่ว่า วิญญาณของเด็กสูงขึ้นหรือไม่ ? ถ้าวิญญาณของเด็กยังไม่สูง ก็ยังขาดครูตามอุดมคติของพุทธศาสนา. หรือแม้แต่คำของคำบาลีคำนี้ ว่าผู้นำในทางวิญญาณ.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> แล้วที่พูดนี้ มิใช่พูดเฉพาะประเทศไทยเรา พูดทั้งโลก, แล้วประเทศอื่น อาจจะร้ายยิ่งกว่าประเทศไทยเรา ในการที่ไม่มีครู. บางประเทศยิ่งเรียนไปก็ยิ่งเหมาะสมสำหรับจะไปเป็นฮิปปี้ อย่างนี้ก็ไม่ต้องอธิบาย เพราะว่าอ่านข่าวอ่านคราวรู้กันอยู่หมดแล้ว ยิ่งเรียนมากขึ้นไปเท่าไร ก็ยิ่งเหมาะสำหรับจะไปเป็นฮิปปี้ ; แล้วโรคระบาดนี้กำลังจะเข้ามาในเมืองไทย. ถ้าวิญญาณของครูมีไม่พอ ต้านทานไม่อยู่แล้ว ประเทศไทยก็จะเหมือนกับประเทศที่เต็มไปด้วยฮิปปี้ ไม่ต้องสงสัย ; เพราะการยกสถานะทางวิญญาณมันไม่มี, หรือมีไม่พอ.</div><span style="color: blue;"> </span><br />
<div style="color: blue;"> <b> ขอให้นึกถึงคำ คำนี้ว่า </b><b>"ครู" นี้ มีความหมายอย่างไร ? มีความหมายสำคัญ ๆ อยู่ที่ว่า ยกสถานะทางวิญญาณให้สูงขึ้น นั่นคือประกอบอยู่ด้วยธรรมะ ; แล้วสิ่งที่เป็นอุปัทวอันตรายอะไรต่าง ๆ ก็ไม่มี. ถ้าสิ่งที่ยังเป็นอุปัทวะต่าง ๆ ยังมีอยู่ก็หมายความว่า เรายังไม่มีธรรมะ ในเรื่องของความเป็นครูสมบูรณ์นั่นเอง.</b></div><div style="color: blue; text-align: center;"><b>******* </b></div><div style="color: blue; text-align: left;"><b>ปลายชอล์กจาก http://www.buddhadasa.org</b></div><div style="color: blue; text-align: center;"><span style="font-size: large;"><br />
</span></div><div class="blogger-post-footer"><img width='1' height='1' src='https://blogger.googleusercontent.com/tracker/340816613843437405-3615019910657695250?l=krukrabkru.blogspot.com' alt='' /></div>Tia Teedeehttp://www.blogger.com/profile/15431183099594541132noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-340816613843437405.post-59780620817012268122011-11-29T00:35:00.000-08:002011-11-29T18:39:51.837-08:002011-11-29T18:39:51.837-08:00บรมครู<div style="text-align: center;"><span style="font-family: Microsoft Sans Serif;"><span style="color: darkblue; font-family: Microsoft Sans Serif; font-size: x-small;"><span class="spnMessageText" id="msg"> <span style="font-family: Arial,Helvetica,sans-serif; font-size: large;"><b> </b></span><span style="font-family: Arial,Helvetica,sans-serif; font-size: small;"><b><span style="color: blue;"><span style="font-size: large;">พระพุทธเจ้าบรมครูผู้ยิ่งใหญ่ของมนุษย์และเทวดา</span></span></b></span></span></span></span></div><div style="font-family: Arial,Helvetica,sans-serif; text-align: center;"><div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="http://1.bp.blogspot.com/-UfbrKUWJKKI/TtSVtT5l3xI/AAAAAAAAEoA/BqwgKoco4Ew/s1600/%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2598%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2588%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="320" src="http://1.bp.blogspot.com/-UfbrKUWJKKI/TtSVtT5l3xI/AAAAAAAAEoA/BqwgKoco4Ew/s320/%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25A3%25E0%25B8%25B0%25E0%25B8%259E%25E0%25B8%25B8%25E0%25B8%2597%25E0%25B8%2598%25E0%25B9%2580%25E0%25B8%2588%25E0%25B9%2589%25E0%25B8%25B2.jpg" width="256" /></a></div></div><div style="font-family: Arial,Helvetica,sans-serif;"><span style="color: darkblue; font-size: x-small;"><span class="spnMessageText" id="msg"><span style="font-size: small;"><span style="color: blue;"><span style="font-size: large;"><b> </b><b>ค</b></span>รูเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญยิ่ง เป็นบุคคลที่คอย สั่งสอน แนะนำ ช่วยบอกทาง รวมทั้งเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ศิษย์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้ชื่อว่าเป็นบรมครูที่ควรนำมาเป็นแบบอย่าง โดยเฉพาะด้านการถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ พุทธองค์กล่าวว่า บุคคลในโลกมีหลายจำพวก มีความสามารถในการรับรู้และเข้าใจแตกต่างกัน เปรียบเสมือนบัว 4 เหล่า เป็นการกำหนดระดับของผู้เรียน คือ หนึ่ง พวกที่มีปัญญาฉลาดเปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำ เมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที สอง พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง ได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติมสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป สาม พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อย ๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง และสี่ คือ พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่มีความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของสัตว์ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงสอนธรรมะนั้น ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก </span></span></span></span><br />
<span style="color: darkblue; font-size: x-small;"><span class="spnMessageText" id="msg"><span style="font-size: small;"><span style="color: blue;"> สื่อที่ทรงใช้ คื่อสื่อบุคคล และใช้ระบบเครื่อข่ายยิ่งสร้างเครือข่ายที่มั่นคงเท่าธรรมะที่ทรงสั่งสอนก็ไปเกิดขึ้นในใจของผู้ได้รับได้นำไปปฎิบัติเท่านั้น รูปแบบของระบบเครือข่ายจึงเกิดขึ้นตั้งแต่สมัยพุทธกาลนานมาแล้ว</span></span></span><span class="spnMessageText" id="msg"><span style="font-size: small;"><br style="color: blue;" /><span style="color: blue;"> สิ่งที่เห็นได้อย่างเด่นชัดในพุทธวิธีการสอนของพระองค์ คือ เทคนิคการสอนที่อาศัยอุปกรณ์ที่มีอยู่ในธรรมชาติประกอบการอธิบาย ทำให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายขึ้น ปัจจุบันเรียกว่าสื่อประกอบการสอนนั่นเอง หากวิเคราะห์เนื้อหาวิชาที่พระพุทธองค์ทรงสอน โดยเฉพาะวิชาทางธรรมเป็นเรื่องที่อธิบายได้ยาก อีกทั้งยังเป็นสัจธรรมที่แปลกใหม่ ต้องต่อสู้กับลัทธิความเชื่อของคนในสมัยนั้นให้มีความเข้าใจใหม่ว่า กรรมคือเครื่องกำหนดการกระทำของบุคคล บุคคลไม่สามารถลบล้างสิ่งที่ตนกระทำได้จากน้ำหรือการทรมานร่างกายตน บุคคลจะดีร้ายย่อมขึ้นอยู่ที่กรรมหรือการกระทำเป็นตัวกำหนด เหล่านี้คือสิ่งท้าทายที่พุทธองค์ได้กระทำ และพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า พระองค์ทรงเป็นบรมครูเอกของโลก ด้วยเหตุนี้แนวคิดเรื่องสื่อหรืออุปกรณ์การสอนที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ในอดีต จึงควรค่าแก่การศึกษาเป็นอย่างยิ่ง ขอยกตัวอย่างสื่อที่ทรงใช้ในสมัยพุทธกาลดังนี้</span><br style="color: blue;" /><span style="color: blue;"> ในช่วงแรกแห่งการตรัสรู้ ทรงแสดงธรรมสอนพวกชฎิล ซึ่งเป็นนักบวชลัทธิหนึ่งที่นับถือบูชาไฟ พระองค์ก็ทรงใช้ไฟที่พวกชฎิลนับถือเป็นสื่อ แต่ทรงเปลี่ยนเป็นไฟภายใน คือ ไฟราคะ ไฟโทสะไฟโมหะ เมื่อจบการเทศนาอดีตนักบวชชฎิลได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ นอกจากนี้ยังมีสื่อที่เป็นรูปธรรมคือ การใช้สิ่งของที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าเป็นสื่อ บางครั้งทรงใช้ปรากฏการณ์ที่ผ่านเข้ามา ดังเช่น ในช่วงฤดูฝนพรรษาหนึ่งพระพุทธเจ้าพักจำพรรษาที่พระเชตวัน กรุงสาวัตถี ทรงใช้เมฆฝนประกอบการสอนภิกษุทั้งหลายว่า</span><br style="color: blue;" /><span style="color: blue;"> บุคคลเปรียบเหมือนเมฆ 4 จำพวกนี้ที่ปรากฏอยู่ในโลก คือ บุคคลเปรียบเหมือนเมฆที่คำราม แต่ไม่ให้ฝนตก คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ชอบพูดแต่ไม่ทำ บุคคลเปรียบเหมือนเมฆที่ให้ฝนตกแต่ไม่คำราม คือบุคคล บางคนในโลกนี้ชอบทำแต่ไม่พูด บุคคลเปรียบเหมือนเมฆที่ไม่คำรามและไม่ให้ฝนตก คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ที่ไม่พูดและไม่ทำ บุคคลเปรียบเหมือนเมฆที่คำรามและให้ฝนตก คือ บุคคลบางคนในโลกนี้ชอบพูด และชอบทำ </span><br style="color: blue;" /><span style="color: blue;"> นอกจากนี้ในบางเวลาเมื่อพระองค์กับพระสาวกทั้งหลายพักตามใต้ร่มไม้ในป่า ก็ทรงใช้สื่อใกล้ตัวและมีอยู่ล้อมรอบเช่น ใบไม้เป็นสื่อประกอบการสอน เช่นคราวหนึ่งทรงประทับอยู่ที่ป่าไม้ประดู่ลาย ทรงหยิบใบประดู่ลายขึ้นมากำไว้ แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า “ใบไม้ในกำมือของพระองค์กับใบไม้ที่อยู่บนต้น อย่างไหนมากกว่ากัน” ภิกษุทั้งหลายพากันกราบทูลว่า “ใบไม้บนต้นมากกว่าที่ทรงกำไว้มีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” จากนั้น จึงทรงรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า “สิ่งที่พระองค์รู้ แต่มิได้สอนนั้นมีอีกมาก เหมือนใบไม้บนต้นไม้ ที่ไม่สอนเพราะเป็นเรื่องที่ไม่มีประโยชน์ ที่นำมาสอนเท่ากับใบไม้ในกำมือ คือ สอนเรื่องทุกข์ และทางปฏิบัติให้ถึงความ ดับทุกข์ ” อันจะเป็นประโยชน์ต่อมหาชนเท่านั้น ส่วนปัญหาที่ว่าโลกเกิดขึ้นมาอย่างไร โลกนี้เที่ยงหรือ ไม่เที่ยง จัดว่าเป็นอัพยากตปัญหา อันเป็นปัญหาที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ ด้วยว่าเป็นความรู้ที่ไม่นำไปสู่หนทางที่จะพ้นทุกข์ได้ เรื่องที่พระพุทธองค์ทรงใช้สื่อประกอบการสอนพุทธบริษัทยังมีอีกเป็นจำนวนมาก ที่นำเสนอนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น ในสมัยพุทธกาล ยังไม่มีอุปกรณ์การสอนชนิดต่าง ๆ ที่จัดทำขึ้นไว้เพื่อการสอนโดยเฉพาะเหมือนสมัยปัจจุบัน หากจะใช้อุปกรณ์บ้าง ก็คงต้องอาศัยวัตถุสิ่งของที่มีอยู่ในธรรมชาติ หรือเครื่องใช้ต่าง ๆ ที่ผู้คนใช้กันอยู่ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึง พระอัจฉริยภาพด้านการใช้สื่อการสอน เพื่อให้พุทธบริษัทเข้าใจในเนื้อหาธรรมได้ง่ายยิ่งขึ้นและเวลาที่จะทรงไปสอนใครก็กำหนดวิธีการ วิเคราะห์ประวัติ สื่อที่ทรงนำไปสอน เป็นการวิเคราะห์ผู้เรียนรายบุคคล ควรคู่แล้วกับการขนานพระนามว่า พระพุทธเจ้าบรมครูเอกของโลกโดยแท้</span></span></span></span><br />
<div style="text-align: center;"><span style="color: darkblue; font-size: x-small;"><span class="spnMessageText" id="msg"><span style="font-size: small;"><span style="color: blue;"></span></span></span></span></div></div><div style="font-family: Arial,Helvetica,sans-serif;"><span style="color: darkblue; font-size: x-small;"><span class="spnMessageText" id="msg"><span style="font-size: small;"><span style="color: blue;"> และที่สำคัญสิ่งที่พระองค์รู้ จะมอบให้แก่เหล่าสาวกไปเผยแผ่แก่ชาวโลกโดยไม่คิดปิดบัง และไม่เคยมีการจดลิขสิทธิ์ และบรรดาเหล่าสาวก เหล่าพุทธบริษัทที่รู้ธรรมะที่ตามพระองค์ก็สามารถนำนำไปเผยแผ่ต่อไป โดยไม่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพเหมือนอย่างที่เราทำกันในปัจุบัน </span></span></span></span></div><div style="font-family: Arial,Helvetica,sans-serif; text-align: center;"><span style="color: darkblue; font-size: x-small;"><span class="spnMessageText" id="msg"><span style="font-size: small;"><span style="color: blue;">******* </span></span></span></span></div><div style="font-family: Arial,Helvetica,sans-serif; text-align: left;"><span style="color: darkblue; font-size: x-small;"><span class="spnMessageText" id="msg"><span style="font-size: small;"><span style="color: blue;">บูชาครูจาก http://www.uniserv.buu.ac.th</span></span></span></span></div><div class="blogger-post-footer"><img width='1' height='1' src='https://blogger.googleusercontent.com/tracker/340816613843437405-5978062081701226812?l=krukrabkru.blogspot.com' alt='' /></div>Tia Teedeehttp://www.blogger.com/profile/15431183099594541132noreply@blogger.com0