Wednesday, November 30, 2011

วิญญาณของความเป็นครู

   วิญญาณของความเป็นครู
              โดย พุทธทาสภิกขุ 
ตอน ขอให้รักษาอุดมคติเดิม ๆ หรือว่าอย่างน้อย ก็ให้รู้ว่าครูนี้เป็น   ปูชนียบุคคล ไม่ใช่ลูกจ้าง.
       ตั้งแต่อาตมาเป็นเด็ก ๆ แล้ว ครูก็สอนให้เห็นว่าครูเป็นปูชนียบุคคลมากที่สุด. แล้วรุ่นต่อมานี้มันจางลง - จางลง จนเด็ก ๆ สมัยนี้ไม่เห็นครูเป็นปูชนียบุคคล ; เด็กเดี๋ยวนี้เห็นครูเป็นลูกจ้าง, นี่ผลของอะไรก็ลองคิดดูเองก็แล้วกัน ; แต่ อยากจะโทษว่าเพราะครูสอนไม่ดี เด็ก ๆ จึงไม่เห็นครูเป็นปูชนียบุคคล. ถ้าครูสอนให้ดี ทำตัวให้ดี อะไรดี เด็ก ๆ จะเห็นครูเป็นปูชนียบุคคล ปัญหามันก็จะหมด. เดี๋ยวนี้ปัญหาที่จะเผาประเทศให้ไหม้เป็นไฟไปก็คือว่าเด็ก ๆ ไม่นับถือว่าครูเป็นปูชนียบุคคล ไม่เคารพครู.
          ถ้าเด็กไม่เคารพครู สิ่งต่าง ๆ เป็นไปไม่ได้, เพียงแต่ไม่เคารพครูอย่างเดียวเท่านั้น ปัญหาต่าง ๆ ก็จะเกิดขึ้นมาก แล้วแก้ไม่ได้ ; ฉะนั้น เด็ก ๆ จะต้องไปเป็นอะไร ชนิดที่สร้างความยุ่งยากลำบากแก่สังคมมากขึ้น.
          ขอให้รักษาอุดมคติของคำว่า ครู ชนิดที่เป็นครู ครูบริสุทธิ์ไว้ ; จะทำได้อย่างไร ? ก็ทำได้ด้วยการเอาธรรมะเข้ามา. พูดสมัยใหม่ก็ว่าประยุกต์ธรรมะนี้ให้เข้ากับครู : ให้ครูมีธรรมะ ครูก็กลายเป็นธรรมบุตร เหมือนกับชื่อของค่ายนี้ว่า ค่ายธรรมบุตร. ธรรมบุตร แปลว่า บุตรแห่งธรรม หรือลูกแห่งธรรม. ผู้ใดเอาธรรมะมาประยุกต์เข้ากับชีวิตของตน มีอยู่ที่ กาย วาจา ใจ แล้ว คนนั้นก็กลายเป็นธรรมบุตร เป็นบุตรของพระธรรม เป็นบุตรของพระเจ้า, หรือเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าไปในที่สุด.
          ตัวครูเองต้องทำตัวให้เป็นธรรมบุตรเสียก่อน เราจึงสามารถทำเด็ก ๆ ให้เป็นธรรมบุตรได้. เรานี่ทำตัวให้เป็นธรรมบุตรโดยถูกต้องเสียก่อน แล้วเราก็จะสามารถทำให้เด็ก ๆ กลายเป็นธรรมบุตรได้. ถ้าเราก็เป็นธรรมบุตรไม่ได้ ก็ไม่มีหวังในข้อนี้ ที่จะไปให้เด็กเป็นธรรมบุตรได้ ในเมื่อเราเป็นไม่ได้.
          ลองไปคิดดูถึงความหมายของคำว่าธรรมบุตร ลูกของพระธรรม, เป็นลูกของพระธรรม เป็นบุตรของพระธรรม ก็ต้องบูชาพระธรรมยิ่งกว่าสิ่งใด. มอบชีวิตจิตใจทั้งหมดทั้งสิ้นให้แก่พระธรรมได้ ; ดังนั้น จึงมีธรรมะอยู่ที่เนื้อที่ตัว ที่กาย ที่วาจา ที่ใจของเรา ; แม้เราจะไม่รู้ ก็เป็นผู้มีธรรม และเป็นธรรมบุตรอยู่ในตัว. บัดนี้ครูอยู่ที่ไหน ๆ ก็มาที่นี่, มานั่งอยู่ที่นี่ซึ่งเรียกว่าค่ายธรรมบุตรแล้ว ; อาตมาขอร้อง, ขอวิงวอนขอร้องว่า อย่าให้เสียทีเปล่า ที่ได้เข้ามานั่งนอนในค่ายธรรมบุตรนี้ ขอให้มีความเป็นธรรมบุตรนี้ติดตัวไปด้วย แล้วก็จะสามารถนำเด็ก ๆ ให้เป็นธรรมบุตร สืบ ๆ สืบ ๆ ต่อกันไปไม่รู้ขาดสาย.
          ทั้งหมดนี้ สำเร็จได้ด้วยการยอมเสียสละ ถ้าไม่มีการเสียสละแล้ว ไม่มีทางที่จะเป็นไปได้ ; เพราะว่าครูเป็นปูชนียบุคคล มีเดิมพันอยู่ที่การเสียสละ. ถ้า ไม่มีการเสียสละแล้วไม่มีการเป็นครู ; นี่เพราะว่าครูเป็นปูชนียบุคคล มีพระเดชพระคุณท่วมท้นอยู่เหนือเศียรเหนือเกล้าของคนทั้งหลาย ก็เพราะเหตุเพียงอย่างเดียวคือ ว่าเสียสละ ; เรายอมเสียสละทุกอย่างทุกประการ เพื่อหน้าที่ของเรา.
          อุดมคติของครู ก็คือ อุดมคติของโพธิสัตว์ คงจะเคยได้ยินกันมา คำว่า "โพธิสัตว์" หรือพระโพธิสัตว์. อย่าได้เข้าใจเป็นอย่างอื่นสำหรับคำว่าพระโพธิสัตว์นั้น มีสปิริต หรือวิญญาณอยู่ตรงที่ว่าเป็น ผู้เสียสละ ผู้บูชาความเสียสละ เขาจึงเรียกว่าโพธิสัตว์. พระพุทธเจ้าก็เป็นโพธิสัตว์ก่อนตลอดเวลานั้น ก็คือเสียสละทุกอย่างทุกประการ จึงเป็นพระพุทธเจ้าในที่สุด, หรือพระโพธิสัตว์องค์ไหนก็ตาม จะมีชื่อว่าโพธิสัตว์ได้ ก็มีวิญญาณเป็นการเสียสละทั้งนั้น ; อย่างอื่นไม่มี ไม่ใช่จุดมุ่งหมายอันใหญ่ จุดมุ่งหมายอันใหญ่ก็คือการเสียสละ. ส่วนสติปัญญาความเมตตากรุณานั้นก็มาเป็นของแวดล้อม เป็นของประกอบ ; ถ้าเรายอม ยอมเสียสละได้แล้ว เราก็แก้ปัญหาต่าง ๆ ได้.
          ในเมื่ออุดมคติของครูก็คืออุดมคติของโพธิสัตว์ ดังนั้น ก็หลีกการเสียสละไปไม่พ้น ; ฉะนั้น ขอให้ชอบให้พอใจ ในการเสียสละ : คือ เสียสละเพื่อมนุษย์ ไม่ใช่เสียสละเพื่อเรา. ถ้าเสียสละเพื่อเราไม่ใช่การเสียสละ.
          ขออภัยที่ต้องย้ำหรือขอเตือนทั้งที่เข้าใจว่า คงจะทราบกันอยู่แล้ว แต่กลัวจะเผลอ ; ถ้าเสียสละเพื่อประโยชน์แก่เราแล้ว มันไม่ใช่การเสียสละ การเสียสละต้องเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น ซึ่งไม่ใช่เรา.
          ที่เราเหน็ดเหนื่อยอย่างนั้นอย่างนี้ เพื่อเราจะได้ขึ้นเงินเดือนหรือเพื่ออะไรนี้ อย่างนี้ไม่เรียกว่าการเสียสละ. ถ้าเป็นการ เสียสละ ก็คือว่า ให้แก่ผู้อื่น คือการทำลายความเห็นแก่ตัวออกไปได้ มันจึงจะเรียกว่าเป็นการเสียสละ. ทีนี้ พอพูดเพียงเท่านี้ท่านทั้งหลายทุกคนก็จะมองเห็นเป็นวงกว้างออกไป ว่า ปัญหายุ่งยาก ของประเทศไทยเรา ของรัฐบาล ของประชาชนอะไร มันจะอยู่ที่การเสียสละ. นี่พูดแล้วเดี๋ยวจะเป็นการเมือง ไม่ต้องพูดมาก ; มันอยู่ที่ไม่มีใครยอมเสียสละ มีแต่จะกอบโกย.
          ถ้าพวกครูเกิดเป็นพวกกอบโกยขึ้นมาละก็ หมดเลย โลกนี้ไม่มีที่พึ่ง ; เพราะว่าครูเป็นผู้ปั้นวิญญาณของอนุชนเด็ก ๆ เล็ก ๆ ให้เติบโตขึ้นมาตามลำดับ. เด็ก ๆ เหล่านี้ ไปเป็นนายกรัฐมนตรี ไปเป็นประธานาธิบดีอะไรเข้ามันก็แย่. เราจะต้องปั้นวิญญาณของเด็ก ๆ ให้เป็นไปถูกทาง แล้วโลกนี้ก็จะรอดได้ : แล้วเราต้องเสียสละ ส่วนเงินเดือนอะไร ยศถาบรรดาศักดิ์อะไรนั้น มันเป็นเครื่องประดับ ; อุดมคติแท้ ๆ อยู่ที่การเสียสละ เพื่อจะยกวิญญาณของสัตว์ทั้งหลาย ให้สูงขึ้นให้จงได้เท่านั้นเอง.
          นี่สรุปความกันเสียทีว่า เป็นครู - นี่ครูนี้คืออะไร ? ครูนี้คือผู้ยกวิญญาณหรือผู้นำในทางวิญญาณของสัตว์โลก. เนื่องจากอะไร ? เนื่องจากธรรมชาติอันเร้นลับหรือพระเจ้าหรือพระธรรม ต้องการให้มีบุคคลชนิดนี้อยู่ในโลก. เพื่อประโยชน์อะไร ? เพื่อประสิทธิภาพของมนุษย์ในการเป็นมนุษย์ที่ดี และเพื่อจะได้มีสันติสุขทั้งโดยส่วนตัวและส่วนรวม. แล้วก็จะสำเร็จได้โดยวิธีใด ? จะสำเร็จได้โดยการเสียสละ เพื่อทำตนให้เป็นครูอุดมคติ ด้วยการมีธรรมะ ประยุกต์ธรรมะให้เข้ากันกับความเป็นครู. นี่เป็น logic ง่าย ๆ ว่า ครูคืออะไร จากอะไร เพื่ออะไร โดยวิธีใด ใน ๔ หัวข้อ.
          ครูคืออะไร ? คือผู้ยกวิญญาณของโลก ; เนื่องจากอะไร ? เนื่องจากธรรมชาติต้องการ ; เพื่อประโยชน์อะไร ? เพื่อมนุษย์จะมีประสิทธิภาพในการสร้างสันติสุข ; และโดยวิธีใด ? ก็โดยเป็นครูที่ถูกต้องแท้จริงตามอุดมคติของคำว่าครู มีธรรมะ ประยุกต์ธรรมเข้ากับความเป็นครู เราก็เป็นธรรมบุตร.
          นี่ ใจความสั้น ๆ มีเท่านี้ จะน่าฟังหรือไม่น่าฟังก็สุดแท้ ; แต่อาตมามีความรู้สึกใจจริงว่า คำพูดนี่จะมีประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายเป็นแน่นอน จึงได้เอามาพูด. ส่วนที่จะเพราะหรือไม่เพราะ น่าฟังหรือไม่น่าฟัง นั้นมันอีกเรื่องหนึ่งช่วยไม่ได้. อาตมานึกแล้วนึกอีกว่านับตั้งแต่ได้รับคำขอร้อง ให้มาพูดที่นี่ ก็นึกว่าจะพูดเรื่องอะไรดี นี้ก็นึกได้แต่อย่างนี้ ; นึกได้แต่ข้อความดังที่พูดไปแล้ว ว่านี้จะเป็น เรื่องที่จะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายซึ่งเป็นครู เหมือนกับอาตมา. อาตมาเป็นครู ท่านทั้งหลายก็เป็นครู แล้วก็พูดกันตรงไปตรงมา ในลักษณะอย่างนี้ เรียกว่า วิญญาณของความเป็นครู มีอยู่อย่างนี้.
          *******
ปลายชอล์กจาก http://www.buddhadasa.org

No comments:

Post a Comment